ข้าอยากบอกสูว่า...
ชีวิตข้าหดหู่อย่างสูเห็น
คือลำเค็ญครองตัวกลัวทุกอย่าง
กลัวมนุษย์สุดคาดมาดรางชาง
สิ่งตรงหน้าอาจมล้างเส้นทางเลว
ข้าเห็นสิ่งหลายอย่างบนทางโลก
เห็นวิโยคเห็นเศร้าเห็นเงาเหว
หรืออารมณ์ร้อนรุ่มสุมไฟเปลว
เกาะสะเอวติดแน่นกับมนุษย์
ต่างชิงดีชิงเด่นก่อเวรซ้ำ
คืออธรรมคนสิบแปดมงกุฎ
ข้าไม่อาจเทียบชั้นกลัวสั่นทรุด
จะยื้อยุดใครได้ตัวนิดเดียว
สูเห็นไหมในแดนอันกว้างใหญ่
จะหาใครห่วงแม้มาแลเหลียว
กับข้าตัวต้อยต่ำชำนาญเคียว
วันวันเกี่ยวรวงข้าวอบอ้าวร้อน
ไม่มีหรอกสูเอ๋ยเหนื่อยเปล่าเปล่า
ต่อให้หาจากเช้าจนหมาหอน
ยังไม่พบสบหน้ามาอาวรณ์
ถึงร่างอ่อนระทวยก็ไม่เจอ
ถ้าหากข้ามีเงินเหมือนคนอื่น
จะกล้ำกลืนซื้อมงกุฎอันเบ้อเร่อ
มาประดับกับกบาลวานชะเง้อ
อย่าเพิ่งเบลอกับสามสิบมงกุฎนี้
จะได้ทันขันแข่งแห่งชีวิต
คงต้องคิดซื้อมงกุฎประดับศรี
มงกุฎมากหลากหลายคงจะดี
จะได้ทันโลกที่ชิงดีกัน
บัณฑิตเมืองสิงห์
ชีวิตเจ้าเศร้าวจีฤดีเห็น
ทนลำเค็ญครองทุกมิสุขสันต์
มีมนุษย์สุดเก่งกาจฉกรรจ์
ล้วนแก่งแย่งแข่งขันทุกวันไป
หลายหลายสิ่งจริงแท้แน่ในโลก
ล้วนนำโศกเศร้าซ้ำกระหน่ำไหว
น้ำเต็มบ้านลานดินสิ้นแสงไฟ
เพราะไปลุกปลุกไสวในใจคน
ฉันคนต่ำตัวเล็กเด็กเตี้ยต้อย
ความรู้น้อยเนื่องนิตย์คิดสับสน
ว่าสมองสองมือถือร้อนร้น
จับปากกาดินสอฝนจนเข้าที
ถึงชาวนาอย่างเจ้าเฝ้าที่เถียง
ต้องหลบเลี่ยงเลี้ยวลดบทวิถี
หลีกให้พ้นคนพาลสาส์นผู้ดี
จงยึดมั่นศักดิ์ศรีดีดั้งเดิม
ไม่มีเหนื่อยเมื่อยยากลำบากหรอก
หากสักวันพันธุ์ดอกไม้ตอกเสริม
ล้วนสวยสดจรดสีต่อมีเติม
คงพูนเพิ่มพูนสุขไร้ทุกข์ใด
หากมีเงินเกินกว่ากินอย่าสิ้นคิด
มงกุฎทองผ่องประสิทธิ์จิตหว่ามไหว
ควรซื้อเกร็ดเมล็ดข้าวราวโยนไป
ให้ท้องนาพาเรืองไกลในใจตน
อย่าไปยึดยื้อแย่งแกร่งชิงดี
คนต่างเติมเสริมสีมีล่องหน
มองภาพลักษณ์พักตราว่าหน้าคน
แต่มองหลังช่างสับสนคนหรือมาร
ก้าวดำเนินเพลินทางวางสร้างสรรค์
โปรดฝ่าฝันฝ่าโชคโศกสนาน
ให้รู้แพ้รู้ชนะจะเชี่ยวชาญ
จงก้าวสู่อยู่สถานลานคนดี
หทัยกาญจน์