เรื่องสั้น...." ผมอยากกลับบ้าน "
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
22 พฤศจิกายน 2024, 10:01:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องสั้น...." ผมอยากกลับบ้าน "  (อ่าน 5168 ครั้ง)
ภู กวินท์
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 364
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 383


สนสามใบ กับใครหลายคน


« เมื่อ: 21 ตุลาคม 2011, 01:15:AM »

....เรื่องสั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมเขียนไว้เมื่อสามปีก่อน ไม่กล้าให้ใครอ่านแบบว่า อายนะครับ พอดีในนี้ไม่ค่อยมีใครเอามาลงเท่าไหร่ เลยเอามาให้อ่านเล่นๆกันเผื่อเพื่อนๆท่านใด มี ก็เอามาลงให้อ่านบ้างนะครับ  เอ้อ..จริงว่ะ

....เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกอาจไม่ได้ความเท่าไหร่ เพื่อนๆติชมได้ตามสะบายเลยนะครับ จะได้ไปปรับปรุงให้ดีขึ้น .... เคารพรัก





 
" ผมอยากกลับบ้าน "

                     “ผมไปล่ะ ..” เป็นคำพูดสุดท้าย ก่อนที่จะก้าวขึ้นรถโดยสารสีแดงที่จอดอยู่ข้างทางอย่างรวดเร็ว โดยมีจุดหมายปลายทางคือกรุงเทพฯ หรือที่เด็กบ้านนอกอย่างพวกเราชอบเรียกกันว่าเมืองสวรรค์ เป็นที่ซึ่งหนุ่มสาวคนแล้วคนเล่าหายเข้าไปในเมืองนั้นรวมทั้งพี่สาวของผมเอง โดยที่พวกเขาเหล่านั้นหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะกลับมาพร้อมกับโชคลาภก้อนโต
                       “อย่าไปเลยลูก..” แม่ห้ามผม น้ำในตาของแม่ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย
                       “อย่าไปเลยลูก กรุงเทพฯมันอันตราย อยู่บ้านเราดีกว่า หาผักหาปลากินตามมีตามเกิด เราก็ไม่อดตายหรอกนะลูก แม่เหลือลูกเพียงคนเดียวเท่านั้น พ่อของลูกก็ด่วนจากเราไปเมื่อปีก่อน ส่วนพี่สาวก็ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง ถ้าลูกไปอีกคนแล้วแม่จะอยู่กับใคร..”
                       แม่ห้ามผมเป็นครั้งที่สอง คำทัดทานของแม่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล ผมก้มหน้านิ่งก่อนที่จะมองหน้าแม่แล้วพูดว่า
                      “ผมต้องไป..ผมโตแล้ว ผมไม่อยากอดตายอยู่บ้านนอกนี้หรอก ผมจะไปตามหาพี่ แล้วผมจะกลับมา..”
                       ก่อนที่แม่จะเอ่ยคำใดๆ ที่ทำให้ผมหวั่นไหวไปมากกว่านี้ ผมรีบก้าวขึ้นรถอย่างรวดเร็ว ขณะที่โสตประสาทของผมในตอนนี้มันไม่อยากรับรู้เรื่องราวใดๆนอกจากได้ยินแต่เสียงคำรามของเครื่องยนต์ที่ค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆจากหมู่บ้านอันแสนจะแห้งแล้งและกันดาร
                      ผมรู้สึกชื้นขึ้นมาที่ขอบตาทันที เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ได้แต่ข่มความรู้สึกนี้ไว้ไม่ให้นึกถึงมัน และย้อนนึกไปเมื่อครั้งตอนเด็ก ที่ผมใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่ง ผมจะต้องไปกรุงเทพฯให้ได้ ในความฝันของผมกรุงเทพฯต้องเป็นเมืองสวรรค์ มีคนแต่งตัวสวยๆหล่อๆ มีจิตใจดีงามตามรูปร่างหน้าตา มีตึกสูงระฟ้ามีรถราสีสันสวยงามอย่างที่เห็นในจอโทรทัศน์…ตอนนี้ ฝันของผมกำลังจะเป็นจริง
                       ผมปล่อยสายตาเลยขอบหน้าต่างรถออกข้างนอก ท้องทุ่งดูเวิ้งว้าง แสงแดดยามเย็นดูซีดหม่น พุ่มไม้ดูสงบเงียบงัน ฝูงนกบินข้ามทุ่งกว้าง ช่างดูโดดเดี่ยวอ้างว้างเหลือเกิน
                       “หมอชิต! สุดระยะทาง..” เสียงดังมาจากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยอาการงัวเงีย ไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ คงเป็นเพราะความอ่อนเพลียและล้าจากการเดินทาง
                        ผมมองลงไปนอกรถ ขณะที่ผู้คนค่อยๆทะลอยลงรถเสียงดังเอะอะจอแจ แต่ละคนหอบหิ้วสัมภาระกันอย่างพะรุงพะรัง บ้างก็ถือถุงใบใหญ่ บ้างก็แบกลังที่ข้างในนั้นบรรจุอะไรสักอย่าง ได้แต่คิดว่าสิ่งที่พวกเขาหอบหิ้วไปนั้น คือความหวัง และเมื่อพวกเขากลับบ้าน พวกเขาต้องหอบหิ้วสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และมีค่ามากกว่านั้นกลับมา
                        “เฮ้อ! ถึงซะที..” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมสะพายเป้ไว้ด้านหลังแล้วก้าวลงจากรถ
                        “ว่าไง..จะไปไหนเหรอน้องชาย..”
   ผมหันไปมองตามเสียง ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือชายวัยกลางคน รูปร่างท้วม ไว้หนวดใส่เสื้อสีฟ้า ถ้าผมเดาไม่ผิดน่าจะเป็นคนขับรถแท็กซี่นั่นเอง
                       “ไปแท็กซี่ไหม..เดี๋ยวไปส่ง..”
                         ผมเดาไม่ผิด ผมบอกกับตัวเอง
                         ผมไม่รู้จะบอกเขาอย่างไรดี จึงใช้มือล้วงกระดาษที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง แล้วยื่นให้เขาดู มันเป็นที่อยู่ของพี่สาวผม เธอชื่อ “นงพิศ” เธอมาอยู่กรุงเทพฯได้หลายปีแล้ว นานๆเธอถึงจะกลับบ้านที แต่ตอนนี้รู้สึกว่าเธอจะหายไปนานกว่าปกติ
                         “อ๋อ...บางพลี ขึ้นรถสิจะพาไป..”
                         ผมก้าวขึ้นรถทันทีโดยไม่ได้พูดอะไร
                         รถแท็กซี่วิ่งตรงไปสู่จุดหมาย  ระหว่างทางผมกวาดสายตาออกไปนอกกระจก เห็นแสงไฟสีต่างๆละลานตา ดูผู้คนก็พลุกพล่านช่างต่างกับบ้านเกิดของผมเสียเหลือเกิน
                        คนขับแท็กซี่เขายังคงทำหน้าที่ของเขาต่อไปโดยไม่พูดอะไร ซักพักเขามองมายังผมตรงกระจกมองหลัง แววตาและรอยยิ้มของเขาทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเลย
                        เขามองดูนาฬิกา
                        “ซวยละสิ!” เขาพูดขึ้นเสียงดัง
                        “มีอะไรเหรอครับ..” ผมถามด้วยความสงสัย
                         “คือผมต้องรีบเอารถไปส่งอู่น่ะครับ ”
                         คำพูดของเขายิ่งทำให้ผมสงสัย
                       “คุณต้องลงตรงนี้แล้ว..” เขาจอดรถพร้อมกับบอกผมว่าต้องรีบเอารถไปส่งที่อู่ให้ทัน ไม่งั้นจะโดนปรับไม่คุ้มกับที่จะไปส่งผม
                         จากน้ำเสียงตอนแรกที่สุภาพของเขา แปรเปลี่ยนไปเป็นน้ำเสียงที่ห้วนขุ่นและหยาบคาย
                       “ลงสิว่ะ..ไอ้บ้านนอก!  ”  เขาตะคอกใส่ผมอย่างแรง
                        ผมก้าวลงจากรถด้วยอาการหงุดหงิด
                       “เจ็ดร้อยบาท..” เขาพูดขึ้นพร้อมยื่นมือมาที่ผม
                       “อะไรมาแค่นี้ตั้งเจ็ดร้อยบาท..” ผมพูดขึ้น
                        มันใกล้กว่าระยะทางจากบ้านผมไปตัวจังหวัดที่ต้องข้ามเขาไปถึงสองลูก และค่ารถก็แค่ห้าสิบบาทเอง… ผมคิดในใจ
                       “จะจ่ายหรือไม่จ่าย.. ถ้าไม่จ่ายก็ไปโรงพัก..”
                        เมื่อผมได้ยินดังนั้น เลยต้องจำใจยื่นเงินให้เขาโดยไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก เพียงคำว่า “โรงพัก” กับเด็กบ้านนอกอย่างผมมันเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก..แล้วมองดูรถแท็กซี่คันนั้นเคลื่อนตัวออกไปบนถนนจนลับสายตา
                       “ไอ้..ปล้นกันชัดๆ..”
                        ผมสบถขึ้น …ความสงสัยที่ครอบงำจิตใจผมก็พลันหายไปเหลือไว้แต่ความหงุดหงิดที่ก่อตัวขึ้นมาแทน
                       “แล้วที่นี่มันที่ไหน..” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง พร้อมกวาดสายตามองไปรอบๆ
                        “ผมต้องไปตามหาพี่..” ผมพูดขึ้น พร้อมล้วงกระดาษที่อยู่ในกางเกงซึ่งเป็นที่อยู่ของพี่ขึ้นมาคลี่อ่านดูด้วยแววตาแห่งความหวัง
                        “ถามคนแถวนี้ดูก็ได้..”
                        ไม่นานผมก็ได้ขึ้นรถเมล์สายหนึ่งซึ่งจะพาผมไปหาพี่ซึ่งเป็นความหวังเดียว และความหวังสุดท้ายของผมในตอนนี้ โดยการแนะนำของนายตำรวจจราจรท่านหนึ่ง ซึ่งบอกสายรถเมล์และบอกว่าผมควรลงที่ไหน อย่างน้อยคนกรุงเทพฯก็ไม่ได้แล้งน้ำใจไปหมดซะทุกคน
                       “บางพลีจ๊ะ..บางพลี..” เสียงดังขึ้นจากกระเป๋ารถเมล์คนหนึ่ง
                        ผมก้าวลงจากรถด้วยความหวังที่จะได้พบกับพี่ ผมถามคนแถวนั้นตามที่อยู่ของพี่จนถึงบ้านหลังหนึ่ง เห็นยายแก่คนหนึ่งนั่งอยู่ในบ้านซึ่งมีสองชั้น โดยชั้นบนนั้นเปิดเป็นห้องให้เช่า ส่วนชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายของชำเล็กๆ
                       “สวัสดีครับยาย..” ผมกล่าวพร้อมยกมือไหว้
                       “มีอะไรเหรอพ่อหนุ่ม..” ยายแก่พูดขึ้น
                       “เอ่อ..ผมมาตามหาคนชื่อ “นงพิศ” ครับยาย รู้สึกว่าเขาจะพักอยู่ที่นี่น่ะครับ..”
                        ยายแก่นั่งนิ่งด้วยท่าทางครุ่นคิดแล้วสักพักก็พูดขึ้น
                       “อ๋อ..นงพิศ  เขาย้ายออกไปเมื่อสองเดือนก่อนแล้วนี่..”
                       “แล้วเขาย้ายไปที่ไหนครับ” ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
                       “ฉันไม่รู้…เธอไปโดยไม่ได้บอกอะไรเลย..” ยายแก่พูดขึ้น ทำเอาผมนิ่งงันไปสักครู่ ครุ่นคิดในใจว่าแล้วผมจะทำอย่างไรดี จะไปตามหาพี่ที่ไหน ผมเดินออกมาจากบ้านเช่าหลังนั้นด้วยสมองที่มึนชา และสิ้นหวัง ลืมขอบคุณแม้กระทั่งเจ้าของบ้าน
                

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :

♥หทัยกาญจน์♥, บัณฑิตเมืองสิงห์, Music, บ้านริมโขง, yaguza, รพีกาญจน์, สะเลเต, อริญชย์, ...สียะตรา.., plang, พี.พูนสุข, ยามพระอาทิตย์อัสดง

ข้อความนี้ มี 12 สมาชิก มาชื่นชม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 ตุลาคม 2011, 07:42:AM โดย ทำ มะดา » บันทึกการเข้า

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s