"ความเคยชิน"ยินชื่อนั่นคือใช่
อยากทุ่มใส่ไฟฟองเอากองสุม
เพราะมันเก่าเกินกว่าจะคว้ากุม
อยู่ในมุมมืดมาจนชาชิน
หลายดาวผ่องส่องเพ็ญอยู่เป็นเพื่อน
วันนี้เลือนลับลาจากฟ้าถิ่น
เหลือเพียงเราเฝ้าแขตาแลดิน
ไม่นานสิ้นแสงใสจะไปตาม
แบบว่า....ก็ไม่รู้สิครับ แต่ก็ตามนั้นแหละ..
อยากทุ่มใส่ไฟฟองเอากองสุม
เพราะมันเก่าเกินกว่าจะคว้ากุม
อยู่ในมุมมืดมาจนชาชิน
หลายดาวผ่องส่องเพ็ญอยู่เป็นเพื่อน
วันนี้เลือนลับลาจากฟ้าถิ่น
เหลือเพียงเราเฝ้าแขตาแลดิน
ไม่นานสิ้นแสงใสจะไปตาม
แบบว่า....ก็ไม่รู้สิครับ แต่ก็ตามนั้นแหละ..
ก่อนอื่นเลยต้องขออนุญาตท่าน ทำ มะดา ในฐานะเจ้าของกระทู้ กับ ท่าน บ้านกลอนไทย ในฐานะเจ้าของกลอน
ที่ผมจะต้องขออนุญาตเพื่อ ติ-ชม บทกลอนของท่านบ้านกลอนไทย สักเล็กน้อย ว่าอันที่จริงนับแต่ผมเข้าเว็บนี้มา มีไม่บ่อยครั้งนัก
ที่จะได้อ่านกลอนของท่านบ้านกลอนไทย ดังนั้นนั่นจึงอีกแรงผลักดันหนึ่งที่ทำให้ผมใคร่จะได้ยลฝีมือของท่านบ้านกลอนไทย
ซึ่งก็นับว่าไม่ผิดหวัง ในเมื่อนานๆทีมาโชว์ฝีมือย่อมจะมีดีมาอวดกัน.......ซึ่งผมจะได้เขียนไปเป็นข้อๆว่ากลอนนี้มีดีอะไร ทำไม
ถึงต้อง ติ-ชม วิจารณ์ด้วย
๑. กลอนนี้นำเอาลูกเล่นคือ กลบทอักษรสามช่วงมาใส่ในวรรคสดับทั้งสองบททำให้กลอนมีความสะดุดหูสะดุดใจ
ซึ่งการนำเอากลบทมาประยุกต์ใส่ในบทกลนั้นทำให้กลอนมีความโดดเด่นเป็นพิเศษกว่ากลอนทั่วไป
๒. ในกลอนรับและกลอนส่งนั้นมีการเล่นอักษร เช่น "มุมมืดมา" "เลือนลับลา" ซึ่งการเล่นอักษรแต่ไม่มากไปจนเสียความ
นี้เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของกลอน(คือใส่ได้เท่าที่โอกาสจะอำนวยแต่ไม่ฝืนมากจนเกินไปจนผิดธรรมชาติเรียกว่ใส่แต่พอดีหรือใส่
ตามจังหวะและโอกาส)
๓. มีสัมผัสครบ ที่ใดที่ไม่มีสัมผัสสระก็จะพบว่ามีการสัมผัสอักษรอยู่ด้วย(เรียกว่ายังคงไว้ลายความเก๋าอยู่)
๔. ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือย คือใช้คำได้คุ้มค่าแต่ละคำแต่ละประโยคนั้นล้วนแล้วแต่มีความหมายที่ไพเราะจับใจทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างเช่น"หลายดาวผ่องส่องเพ็ญอยู่เป็เพื่อน" เพียงแค่วรรคนี้วรรคเดียวก็อธิบายความได้หลายอย่าง เฉพาะคำว่า "หลายดาวผ่อง"
ก็กินความว่า ดวงดาวไม่ใช่ดวงเดียวแต่ทว่าเป็นหลายดวงมีรัศมีผ่องใส จะเห็นว่าเพียงสามคำเท่านั้นก็สื่อความหมายได้กว้างขวาง
คำต่อมาคือ "ส่องเพ็ญ" อาจหมายความว่า ส่องประกายเต็มดวง หรือส่องแสงคู่กับดวงจันทร์เต็มดวงก็ได้อีก คำว่า "อยู่เป็นเพื่อน"
อาจสื่อความหมายว่าอยู่เป็นเพื่อนดวงจันทร์หรืออยู่เป็นเพื่อนคน(ผู้แต่งกลอน)ก็ได้ทั้งสองทาง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเพียงแค่คำ ๘ คำ
เท่านั้นแต่กลับกินความหมายที่กว้างขวางลึกซึ้ง
นอกจากนี้ก็คือวรรคต่อมา "วันนี้เลือนลับลาจากฟ้าถิ่น" ตรงนี้ก็อีก คำว่า"วันนี้" บอกให้ทราบว่าเป็นเวลาปัจจุบันไม่ใช่
เมื่อวานหรือวันไหน ส่วนคำว่า"เลือนลับลา"ก็คือการจากไป มองไม่เห็นอีกต่อไป มองไม่เห็นเหมือนเคย แล้วยังเป็นการเล่นอักษร
อีกด้วย ส่วนคำว่า"จากฟ้าถิ่น" นั้นบอกให้ทราบว่า จากท้องฟ้าซึ่งเป็นถิ่นที่ดาวเคยอาศัยอยู่ นอกจากจะรับสัมผัสแล้วยังแฝงด้วย
ความหมายที่ครอบคลุมทั้งหมด นอกจากนี้แล้วในวรรคถัดๆมาหรือวรรคอื่นล้วนแล้วแต่มีความหมายในตัวทั้งสิ้น
๕. มีการส่งสัมผัสจากคำที่ ๕ ไปยังคำที่ ๗ ทุกวรรคตลอดทั้งสองบท ซึ่งตรงนี้โดยส่วนตัวผมก็ชอบที่จะส่งสัมผัส
จากคำที่ ๕ ไปลงคำที่ ๗ อยู่ด้วย(แต่ส่วนมากมันจะทำไม่ได้ครบทุกวรรค)ทั้งนี้เป็นความชอบส่วนตัว
๖. กลอนนี้เลือกลงท้ายวรรคแรกด้วยเสียงโททั้งคู่(อันนี้เป็นความชอบส่วนตัวของผมแม้ว่าในการแต่งกลอนทั่วๆไป
ผมจะไม่ค่อยมีโอกาสลงท้ายด้วยเสียงนี้นักก็ตาม)
๗. กลอนนี้ดีทางด้านภาษา กระชับ ได้ใจความ ถูกต้องตามหลักฉันทลักษณ์ของกลอนแปดและไม่ยาวยืดเยื้อจนเกินไป
(ความนิยมส่วนตัวอีกที่นิยมกลอนสั้นเพราะกลอนยาวผมขี้เกียจอ่าน ไม่ได้หมายความว่ากลอนยาวไม่ดี)
สรูปแล้ว กลอนนี้เป็นที่รวมของข้อดีหลายๆอย่างเท่าที่ผมพอจะนึกได้ หรืออาจจะมีข้อดีอื่นๆแต่ผมไม่ทราบก็เป็นได้
ผิดถูกยังไงผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ช่วงนี้ไม่ว่าง
๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๔