Re: ... ไม่กล้าเขียนกลอนหวาน..น้ำตาลสูง...
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
24 พฤศจิกายน 2024, 03:34:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ... ไม่กล้าเขียนกลอนหวาน..น้ำตาลสูง...  (อ่าน 11048 ครั้ง)
...สียะตรา..
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 396
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,049


.


« เมื่อ: 20 กันยายน 2011, 10:09:AM »





พระจุฑาธุชราชฐาน(พระราชวัง ร.5)
 พระจุฑาธุชราชฐาน มีอายุ 116 ปี ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเสด็จมายังเกาะสีชังเป็นประจำโดยเรือกลไฟชื่อ "พระที่นั่งสยามอรสุมพล" และประทับแรมบนเรือพระที่นั่งโดยมิได้สร้างพลับพลาที่ประทับ แต่ในเวลานั้นก็มีเรือนไม้พักผ่อนริมทะเล ปลูกสร้างอยู่แล้วหลังหนึ่งคือ "เรือนเขียว" ปัจจุบันยังอยู่และมีสภาพที่เรียบร้อยสมบูรณ์

มาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ก็โปรดเสด็จมาประทับที่เกาะสีชัง และเวลาเสด็จประพาสหัวเมืองชายทะเลตะวันออก ก็ถือเอาเกาะสีชังนี้ เป็นระยะที่พักทอดเรือพระที่นั่งและเป็นที่ตากอากาศ ตลอดจนอยู่ไม่ไกลจากพระนคร และยังมีเจ้านายหลายพระองค์ เสด็จมาทรงรักษาอาการประชวรอยู่เสมอ
ในปี พ.ศ. 2431 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ (รัชกาลที่6) ทรงพระประชวร ทางแพทย์หลวงได้ถวายการเสนอแนะให้ไปรักษาพระองค์ที่เกาะสีชัง ซึ่งเวลานั้นคงไม่มีพลับพลาที่ประทับ คงมีแต่เรือนเขียว และในปีเดียวกันนั้นสมเด็จพระบรมราชินีก็่ทรงพระประชวร แพทย์ก็ให้แปรพระราชฐานมาประทับที่เกาะสีชังอีก และเสด็จมาอย่างกระทันหัน ต้องประทับที่กระโจมพักใต้ต้นมะขาม

ในปี พ.ศ. 2434 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางเดชาวุธ ทรงพระประชวรหนักได้เสด็จมาประทับที่เกาะสีชัง ครั้งนี้รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จมาด้วยจึงทรงมีพระราชดำริว่า "ที่เกาะสีชังมีอากาศดีมีภูมิสถานเป็นที่สบาย ควรตั้งพระราชฐานให้มั่นคง เพื่อเป็นที่ประทับในฤดูร้อน เพราะมีความสำคัญด้วยเป็นพระนครที่สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินมาประทับ และเป็นเมืองท่าใหญ่แห่งหนึ่งของกรุงสยาม"
ในปี พ.ศ. 2436 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังขึ้น ณ ตำบลเทววงษ์ อยู่ตรงกลางของเกาะสีชัง
มีพระที่นั่ง4 องค์ พระตำหนัก 14 องค์ ศาลา 1 หลัง ประตูพระราชฐานชั้นใน 3 ประตู ทางในพระราชฐาน 26 ทาง บันได 21 บันได น้ำตก 5 แห่ง สระน้ำ3 สระ น้ำพุ 4 แห่ง ธารน้ำ 2 ธาร ถ้ำ 3 ถ้ำ และบ่อน้ำ13 บ่อ

รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกาะสีชังมาก จึงมีพระราชประสงค์ให้เป็นสถานที่ประสูติของพระราชกุมารในพระองค์และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
ซึ่งพระองค์ได้พระราชทานนามพระราชฐานให้ต้องด้วยพระนามแห่ง สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ คือพระราชกุมารนั้นทรงพระราชทานนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก
พระราชฐานให้เรียกว่าพระจุฑาธุชราชฐาน พระราชทานนามพระที่นั่งทั้ง 4 ว่า "พระที่นั่งโกสีสุภัณฑ์ พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ พระที่นั่งโชติรสประภาต์ และพระที่นั่งเมขลามณี"

พระตำหนักทั้ง 14 องค์ พระราชทานนามว่า
"วรสตรีก่องเก็จ เพชรระยับ ทับทิมสด มรกฏสุทธิ์ บุศราคำ กำโกมิน นิลแสงสุก มุกดาพราย เพทายใส ไพฑูรย์กลอก ดอกตะแบกละออ โอปอล์จรูญ มูลการเวก และเอกฟองมุก"
ซึ่งคล้องจองกันไปหมด
พระราชวังจุฑาธุชราชฐาน
พระราชวังฤดูร้อนในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งอยู่บริเวณแหลมวัง ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะสีชัง มีสิ่งก่อสร้างตั้งอยู่ตามชั้นเนินเขาที่สูงต่ำลดหลั่นกันอย่างงดงามประกอบด้วยพระที่นั่ง 4 องค์ พระตำหนัก 14 หลัง ศาลา 1 หลัง มีสวนดอกไม้ สระ ธารน้ำ น้ำพุ ถ้ำและหน้าผา ตกแต่งตามลักษณะอุทยานในพระราชวังของประเทศตะวันตก

เรือนเขียว
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเสด็จมายังเกาะสีชังเป็นประจำโดยเรือกลไฟ และประทับแรมบนเรือพระที่นั่งโดยมิได้สร้างพลับพลาที่ประทับ แต่ในเวลานั้นก็มีเรือนไม้พักผ่อนริมทะเล ปลูกสร้างอยู่แล้วหลังหนึ่งคือ "เรือนเขียว" ปัจจุบันยังอยู่และมีสภาพที่เรียบร้อยสมบูรณ์

เรือนผ่องศรี
จัดแสดงนิทรรศการพระราชประวัติและประวัติบุคคลผู้ที่มีบทบาทสำคัญกับเกาะสีชังในอดีต

พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์
พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ พระที่นั่งองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านทรงโปรดเกล้าวางศิลาฤกษ์ในปี พ.ศ.2435 แต่ขณะที่กำลังก่อสร้างพระที่นั่งองค์นี้ ได้เกิดเหตุความไม่สงบ ร.ศ.112 ขึ้น ต่อมาพระองค์ท่านได้มีพระราชองค์การรับสั่งให้รื้อพระที่นั่งองค์นี้ แล้วมาสร้างในพระราชวังสวนดุสิต กรุงเทพมหานคร และพระราชทานนามใหม่ว่า พระที่นั่งวิมานเมฆ ซึ่งองค์พระที่นั่งเป็นเรือนไม้สักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก การก่อสร้างนั้นไม่ได้ใช้ตะปูเข้าเรือนเลยสักตัว เป็นการสร้างเรือนไม้ด้วยช่างไม้หลวงฝีมือชั้นครู ภายในพระจุฑาธุชราชสถาน ปัจจุบันเหลือเพียงฐานของอาคารซึ่งเป็นคานคอดินที่เหลือให้พวกเรา ได้จินตนาการว่า
องค์พระที่นั่งวิมานเมฆได้เคยก่อสร้างเป็นอาคารริมทะเลที่สวยงามอย่างมาก

เรือนวัฒนา
จัดแสดงนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญในเกาะสีชังในสมัยรัชกาลที่ 5

สะพานอัษฎางค์
อยู่ในบริเวณพระตำหนัก เป็นสะพานที่รัชกาลที่ 5 ท่านทรงใช้เป็นท่าขื้นเทียบเรือหลังจากที่เสด็จประพาสฝรั่งเศส ที่เห็นนี่คือบูรณะใหม่ทั้งหมดแล้ว แต่ว่ายังคงรูปแบบสภาพเดิมทั้งหมด

อัษฎางค์ประภาคาร
อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีศิลาอยู่ใต้น้ำอยู่ตรงปากช่องทางเรือ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นที่สังเกตแก่เรือที่จะเดินเข้าออก

พระเจดีย์อุโบสถ วัดอัษฎางค์นิมิตร
เป็นพระอุโบสถที่อยู่ในเขตพระราชวัง มีลักษณะแตกต่างจากที่อื่น คือ พระอุโบสถอยู่ใต้เจดีย์ทรงกลมแบบลังกา ตัวพระอุโบสถสร้างแบบสถาปัตยกรรมแบบโกธิค บริเวณพระเจดีย์อุโบสถยังมีต้นศรีมหาโพธิ์ ซึ้งนำหน่อมาจากพุทธคยา ประเทศอินเดียปลูกไว้ด้วย พระเจดีย์อุโบสถนี้ที่ตั้งอยู่บนเขา ณ ตำแหน่งที่สูงมองเห็นได้ชัด และจากองค์พระเจดีย์สามารถมองเห็นทัศนียภาพบริเวณพระราชฐานโดยรอบ รวมถึงภูมิทัศน์ทางทะเลที่สวย...



......ขอเงินแฟนได้แสนบาท...แล้ววาดหวัง

...จะไปนั่ง..ชมธารา..หน้าวังหลวง

...ฟังทะเลเห่เย้าเจ้าดาวดวง

...แสงโชติช่วงอภินันท์..จากจันทรเพ็ญ




ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :

♥หทัยกาญจน์♥, บัณฑิตเมืองสิงห์, ยามพระอาทิตย์อัสดง, amika29, สุนันยา, รพีกาญจน์, สะเลเต, บ้านริมโขง, พี.พูนสุข, Music, คันไถ

ข้อความนี้ มี 11 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s