รติกาล ม่านมัว สลัวหรู่
ทอดนัยน์สู่ เบื้องปลาย กายอิงฝา
วิบพรายดาว วาวฉาน ละลานตา
มองปุยฟ้า ฟ่องเอื่อย ลอยเรื่อยไกล
สรรพสิ่ง พริ้งเคียง สำเนียงป่า
หยาดน้ำตา ราตรี ริบหรี่ใส
กราวกระทบ พื้นพร่าง น้ำค้างไพร
ไม้กวัดไกว ใบแกว่ง ด้วยแรงลม
เฉื่อยฉ่ำฉิว พลิ้วหวน หอมอวลผ่าน
กุสุมาลย์ บานคืน รื่นผสม
วิบหิ่งห้อย ลอยล่อ ริกล้อชม
ไหลอารมณ์ ห่มห้วง แดดวงดาย
จันทร์คลายเกี่ยว เสี้ยวฟ้า ล่วงลาคล้อย
ดาวก็พลอย เลือนจาง จรห่างหาย
นกละเมอ เผลอร้อง ทำนองพราย
คนทอดกาย เอนราบ อิ่มอาบเอม
ปภัสร์
๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๔
ตรู่สางแล้วแววฟ้า นภฉาย
แสงตะวันพุ่งพราย ใจเกษม
หายอ่อนล้าพาฤดี อิ่มปรีเปรม
ด้วยเติมเต็มพลังอาบ รับอรุณ
ฟังนกกาไก่ขันประชันแจ้ว
ชมน้ำค้างพร่างแพรวเป็นแนวหนุน
เก็จเกาะเก็จเม็ดน้ำ ช่างงามคุณ
ขับกับแสงไออุ่นอุไรทา
ดุจการเปลี่ยนเวียนว่ายอาจผายผัน
ของวงล้อชีวัน ดั้นค้นหา
ความสวยงามท่ามมืดฟ้า ฤาทิวา
แต่คงค่าน่าถนอมทุกหย่อมกาล
สุวรรณ ๒๕ ส.ค. '๕๔