~*~ ม่านบางขวางใจ ~*~
เมื่อเกิดแก่ใจแล้วหากแคล้วคลาด
ปล่อยภพชาติล่วงผ่านมิหาญหัก
ฤๅเพรงกรรมทำแต่งนั้นแรงนัก
จึงเก็บกักอาวรณ์จนรอนทรวง
ยอมกดข่มอาลัยอยู่ในอก
น้ำตาตกค่ำเช้าเพราะเฝ้าหวง
จินตภาพทาบจิตนิมิตลวง
ตรึงเป็นบ่วงบาศรั้งสุดยั้งทัน
หยาดน้ำตาคับแค้นเขียนแทนหมึก
ลงจารึกในทรวงกลางดวงขวัญ
คำที่เรียงลงประทับนับอนันต์
สูงถึงชั้นอินทร์พรหมเพราะตรมใจ
ดำรงอยู่เช่นนั้นแม้วันคล้อย
มีแต่รอยรำพันยามหวั่นไหว
สลักลึกล่วงกาลตราบนานไกล
ตราบปราณไร้ชีพร้างฤๅจางรอย
สายกาลพรากจากต้นสุดด้นกลับ
จนเลือนลับรูปนิมิตแม้คิดถอย
ก็สุดดึงวันวารย้อนการคอย
มาร่วมร้อยรวมชนม์ท่องบนทาง
บันทึกนั้นคงอยู่มิรู้จบ
อีกกี่ภพชาติพรากเพราะขวากขวาง
เวียนเกิดดับต้น-ปลายตราบวายวาง
จักไม่จางลายลักษณ์อักขรา
วนรอบวัฏฏ์บรรจบร่วมภพชาติ
กลับนิราศร้างรอยให้คอยหา
ยั่วหยอกเถิดกรองบทรจนา
ย้ำจนกว่าสาสมที่ตรมทรวง
ตราบก้าวล่วงม่านบางที่ขวางอยู่
แล้วจะรู้น้ำใจอันใหญ่หลวง
แอบเก็บงำหนึ่งใครแนบในดวง
ฤทัยล่วงพ้นวารแสนนานมา
เมื่อเกิดแก่ใจแล้วยากแคล้วคลาด
แม้อีกกี่ภพชาติปรารถนา
จะขึงใยข้ามผ่านกาลเวลา
รอจนกว่า..อีกมาน..พ้นม่านบัง
วลีลักษณา
๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๔
ฟันม่านขาดกระเด็นเป็นทางผ่าน
เห็นดวงมานพธูอยู่เบื้องหลัง
ใจคนยากฝากไว้เธอไม่ชัง
แนบใจยั่งยืนอยู่มิรู้คลาย
ข้ามภพชาติปรารถนาหาคลาดแคล้ว
รักเพริศแพร้วรออยู่ไม่รู้หน่าย
กาลเวลากี่กัปมิกลับกลาย
โยงใยสายสวาทคล้องชีพสองเรา
ดาว อาชาไนย
[