สิ้นบริบทงดงาม นิยามโลก
แม้ลำนำทุกข์โศก ก็สิ้นไร้
บทกวีแห้งผาก เหือดจากใจ
จากครั้งหนึ่งเคยรับใช้ สุนทรียชน
ไม่มีเสียงพร่ำเพ้อ จากดอกไม้
ภาพดาวเดือนเกลื่อนไหม้แลหมองหม่น
ท่ามเสียงกร้าวประชันแข่งโหมแรงรน
พาผู้คนรีบร้อน ไม่อ่อนงาม
ผ่านเผินไปบนทาง อย่างมักง่าย
กวีบทสุดท้าย ถูกมองข้าม
สิ้นคุณค่าเปล่ากลวง นิรนาม
เป็นเช้าชามเย็นชาม ทุกสังคม
เร่งไปกับความรีบร้อน ยุคสมัย
สิ้นดอกเชื้อเนื้อใบ ใดเพาะบ่ม
แม้สุนทรียภาพทางอารมณ์
ก็ถูกจมสู่ก้นถ้วยอย่างป่วยการ
ไม่มีใครฟังใคร ในแนวคิด
ไร้พันธะถูกผิด สมมติฐาน
ความขัดแย้งแข่งขันปลูกสันดาน
พอใจไม่พอใจคืองาน คือชีวิต
แสวงหาสุขสบายเพียงขายซื้อ
ต่างสันดานต่างด้านดื้อต่างจริต
สวมหน้ากากเปล่าดายสหายมิตร
สารทิศบ่งเห็นอยู่เช่นนั้น
ไม่เหลือแล้วศรัทธาใด ในพระเจ้า
คาบคัมภีร์กล่วงเปล่า อำนาจ ฝัน
สังคมอยู่ที่ใคร มีกว่ากัน
อารยธรรมเพียงสืบพันธุ์ แล้วเข่นฆ่า
วูบแสงไฟผ่านร่างก็ล้มร่วง
กัมปนาทเซ่นสรวง ทรามตัณหา
เสียงของความมืดบอดเล็ดลอดมา
บอกโลกถึงกาลเวลา วิบัติแล้ว
ไม่มีความละมุนสุนทรียภาพ
ประโลมเมืองคนบาปเพียงลมแผ่ว
แลอนาถศาสตร์ศิลป์สิ้นหน่อแนว
คงแต่แววอาวุธ ประทุษร้าย
ไม่มีความตื่นตระหนก
แม้นรกก็ไร้ซึ่งความหมาย
ทุกชีวิตกำซาบ แต่หยาบคาย
เมื่อกล้ากวีต้นสุดท้าย ตายไปแล้ว
………………………
โดยคำ ลานเทวา