หัวข้อ: "คุณเชื่อใหม" เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 01 สิงหาคม 2009, 11:34:PM 'อย่าหนีนะ เจ้าเด็กขี้ขโมย'
เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว ทั้งแม่และฉันหันไปดู ทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น แค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า 'อ้าวนั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ' 'ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ' ป้าคนนั้นชื่อว่า 'ป้าหนอม'เป็นแม่ค้าขายของชำ สารพัดอย่างในตัวตลาด ในอำเภอที่ฉันอยู่มีฐานะ จัด ว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่าง ร้ายกาจ แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของ มากเกินไปหรือถามราคาแล้วไม่ซื้อป้าแกจะโวยวาย ชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว เสียงเอะอะดังมากขึ้นฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือ เด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบไล่เลี่ยกับฉัน ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ แม่จึงเดินเข้าไปถาม 'พี่หนอม มีไรหรือคะ' 'ก็คุณ เด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ พอฉันหยิบส่งให้ มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย' พูด จบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้ 'ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ' แม่ รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่ 'เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย พ่อแม่ไม่สั่งสอนยังเด็กตัวแค่นี้ก็รึจะเป็นขโมย ซะแล้ว ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ' ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้ แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า .... 'อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอมเด็กมันคงอยากซื้อยา แต่ ไม่มีเงินนะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะกี่บาทกันละ' ในที่สุดเรื่องก็จบลงโดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุ แล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่ 'ใจดีกับเด็กขี้ขโมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ' แม่ไม่ได้ตอบอะไรแต่พอเดินห่างจากร้านพอสมควรแล้วก็ ถามว่า 'ทำไมหนู ขโมยของป้าเขาละ' เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า 'แม่ ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอผมก็เลยต้อง.....' แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยื่นผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็ก คนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า 'ที หลังอย่าขโมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆนี่เองถามคนแถว นี้ก็ได้ รู้จักน้า แทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไปฝากคุณแม่ซิคนป่วยนะต้อง กินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้มั้ย' แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะรับส้ม พร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที 'ทำไมแม่ ต้องช่วยเด็กคนนั้นด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ' แม่ยิ้มแล้วตอบฉันว่า 'ไม่ รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขาย อยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอกแม่ซื้อขนม แกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง' 'แต่ นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่' ฉันถามต่อ แม่ มองหน้าฉันแล้วพูดว่า 'แม่ เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆกับลูก จะต้องเป็นเด็ก ที่มีความรับผิดชอบ รู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่า... กว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหน และคน ที่มี ความรับผิดชอบนะ... จะไม่มีทางขโมยของใคร... นอกจากจะจำเป็นจริงๆ...เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น' ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า 'แล้วต่อ ไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า' 'ให้ สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร 'แล้วแม่ ไม่เสียดายเงินหรอบ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือน บ้านป้าหนอมเขานะแม่' 'ถึง แม่จะไม่มีเงินทองมากนักแต่การที่ได้ช่วยเหลือคน ที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุขแล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก' แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า 'จำ ไว้นะลูก คนเรานะต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมอ อย่างเด็กคนนั้น... แม่มั่นใจว่าแกทำไป เพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้' แล้วแม่ก็พูดต่อว่า 'ลูก อาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งทีผิด ใช่.....แม่ไม่เถียง แต่บางครั้ง คนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆบ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ' หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆกันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น... ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตา ว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้าเพราะอยาก ให้แม่พักผ่อนบ้าง หลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน แม่ยอมปิดร้าน แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้อง ยอมตามใจแม่ ฉัน ทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายเริ่มจาก ปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆไม่กี่วันก็หายหลังจากนั้นก็เริ่ม เป็นนานขึ้นเรื่อยๆ ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอแล้วฉันก็พาแม่ ไปหาหมอในเมือง หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนัก มากเกินไป หมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อน มากๆ จะได้หายเร็วๆ หลังจาก กินยาตามที่หมอสั่งอาการปวดหัวของแม่ก็หายไป ฉันเริ่มสบายใจขึ้น แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีกคราวนี้เป็นหนักมากกว่า ครั้งที่แล้ว ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย ฉัน กังวลใจมาก.... พอถามหมอ หมอก็บอกว่าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เพราะว่าเครื่องไม้เครื่อง มือพร้อมกว่า โรงพยาบาลต่างจังหวัด หลังจาก นั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯทันที ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งหลังจากหมอตรวจแล้วบอก ว่า มีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับ เส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรง ถึงขั้นเสียชีวิต ฉันตกใจมากของให้หมอผ่าตัดให้ทันทีแต่หมอบอกว่า โรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่า ตัดเนื้องอก ในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลง หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจ อยู่ด้านนอก ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่และจากคำพูดของหมอ ที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ หมอบอก ให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัด จะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องก็คือค่าใช้ จ่ายในการผ่าตัดสมอง ค่อนข้างสูง เป็นหลัก แสนบาท เมื่อรวมกับค่ายาระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หายส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง หลังการ ผ่าตัดเสร็จสิ้นลงเป็นโชคดีของแม่ทีการผ่าตัด ประสบผลสำเร็จและไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆทางโรงพยาบาล บอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้น ที่บ้านได้ ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฏว่า เป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาทเป็นค่าติดต่อประสาน งานเท่านั้น ฉัน แปลกใจมากจึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่า คุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้ บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ ฉัน จึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่าหลังจากผ่าตัดคุณแม่เสร็จ คุณหมอก็ถูกส่งตัว ไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติม เกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่ โดย กำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉัน พร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ เมื่อ กลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น เมื่อ อ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน เนื้อความในจดหมายมีดังนี้ ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์ ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้ ค่าผ่าตัด 0 บาท ค่ายาทั้งหมด 0 บาท ค่า ใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท ป..ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วย ยาแก้ปวด ยาธาตุ และส้มหนึ่งถุง ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า.... นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความ และเพื่อนๆที่ FW Mail ดีๆ มา ให้ ที่ลืมไม่ได้ขอบคุณท่านที่อ่านจนจบ และขอบคุณมากๆ ที่เผยแพร่ต่อไป ขอบคุณจริงๆ .....ขอบคุณ FW mail ของเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ที่ส่งมาแบ่งปันกัน.....(สายใย) หัวข้อ: Re: "คุณเชื่อใหม" เริ่มหัวข้อโดย: ดาวระดา ที่ 02 สิงหาคม 2009, 12:27:AM ผมอ่านจบก็น้ำตาซึมไปด้วยเลย
ขอบคุณที่นำเรื่องดีๆมาให้อ่านนะครับ เรื่องราวของการทำดีไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อ เพราะผมเชื่ออย่างนั้น แม้ในหลายครั้งหลายคราแม้กระทั่งตอนนี้อาจทำดีได้ไม่หมด แต่ก็ยังศรัทธาที่จะทำดีให้มากกว่าทำชั่ว หัวข้อ: Re: "คุณเชื่อใหม...เมาแล้วขับ" เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 07 มกราคม 2010, 08:33:PM ช่วยอ่านให้จบนะครับแล้วเลือกว่าจะทำอย่างไหน
....ในวันสุดท้ายก่อนวันคริสต์มาส ฉันรีบไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ต เพื่อซื้อของขวัญที่ฉันไม่ได้ซื้อไว้แต่เนิ่นๆ เมื่อฉันเห็นผู้คนทั้งหมดที่นั่น ฉันก็เริ่มบ่นกับตัวเอง ฉันคงต้องเสียเวลาเป็นชาติที่นี่แน่ๆ ฉันควรไปที่อื่นดีกว่า คริสต์มาสนี่ทำให้รู้สึกแออัดและน่ารำคาญขึ้นทุกๆปีจริงๆ สิ่งที่ฉันอยากจะทำคือเอนตัวลงนอนแล้วก็หลับไปและตื่นขึ้นมาเมื่อเวลานี้ผ่านพ้นไปแล้วจริงๆ ...แต่ถึงยังไงฉันก็ยังไปที่แผนกของเล่น ... และฉันก็เริ่มหัวเสียเกี่ยวกับราคาของมันและแปลกใจว่า .. เด็กๆ เนี่ยเล่นของเล่นที่แพงขนาดนี้เชียวหรือ ขณะที่กำลังเดินดูของอยู่ในแผนกของเล่นนั้น ฉันสังเกตเห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่ง อายุประมาณ 5 ขวบ กำลังอุ้มตุ๊กตาไว้แนบกับอก เขาค่อยๆลูบผมของตุ๊กตานั้น และมองดูอย่างเศร้าสร้อย ฉันสงสัยว่าเด็กผู้ชายคนนี้จะเอาตุ๊กตาไปให้ใครกัน เด็กผู้ชายคนนั้นหันไปหาหญิงชราที่อยู่ข้างๆ 'คุณย่าแน่ใจหรือฮะว่าเงินของผมมีไม่พอ ' หญิงชราตอบว่า 'หลานก็รู้นี่ว่าหลานมีเงินไม่พอที่จะซื้อตุ๊กตาตัวนี้หรอก' หลังจากนั้นหญิงชราก็บอกให้เขารออยู่ตรงนั้นประมาณ 5 นาทีระหว่างที่เธอจะไปเดินดูรอบๆ แล้วเธอก็จากไปอย่างรวดเร็ว เด็กชายยังคงอุ้มตุ๊กตาอยู่ในมือ ในที่สุดฉันก็เริ่มเดินเข้าไปหาเขา ฉันถามเค้าว่าเค้าจะเอาตุ๊กตาตัวนั้น! ไปให้ใคร มันเป็นตุ๊กตาที่ น้องสาวของผมชอบที่สุดฮะ และเธอก็อยากจะได้มันมากเป็นของขวัญวันคริสต์มาส เธอมั่นใจมากว่าซานตาคลอสจะให้ตุ๊กตาตัวนี้แก่เธอ ฉันบอกเค้าว่า ..... ซานตาคลอสจะให้ตุ๊กตานี้แก่น้องสาวของเขาแน่ๆ และก็ไม่ต้องกังวลหรอก ....... ( มาถึงตรงนี้ นึกหละสิครับว่า เรื่องนี้ จะเหมือนกับเรื่องปกติทั่วๆไป...... ...ที่.คุณเคยอ่าน เดาผิดแล้วหละครับ ลองอ่านต่อสิครับ...) แต่เขาตอบฉันด้วยท่าทางเศร้าสลดว่า ..... ไม่หรอกฮะ ซานตาคลอสไม่สามารถเอาตุ๊กตานี้ไปให้เธอในที่ๆเธออยู่ตอนนี้ได้ ผมจะเอาตุ๊กตาตัวนี้ไปให้แม่ แม่จะได้เอาตุ๊กตานี้ไปให้เธอเมื่อแม่ไปที่นั่น ดวงตาของเขาเศร้ามากขณะที่เขาพูดต่อไป น้องสาวของผมไปอยู่บนสวรรค์ พ่อบอกว่าแม่ก็จะไปเหมือนกันในเร็วๆนี้ ผมก็เลยคิดว่าแม่น่าจะเอามันไปให้น้องสาวของผมได้ หัวใจของฉันเกือบจะหยุดเต้น... เด็กชายเงยหน้ามองฉันแล้วพูดว่า... ผมบอกพ่อ ให้บอกแม่ว่า อย่าพึ่งไป ให้รอผมจนกว่า ผมจะกลับจากซุปเปอร์มาร์เก็ตฮะ... แล้วเขาก็หยิบรูปที่น่ารักมากของเขาซึ่งกำลังหัวเราะให้ฉันดู แล้วก็บอกว่า ผมอยากให้แม่เอารูปนี้ไปด้วยฮะ เธอจะได้ไม่ลืมผม.... .....ผมรักแม่ฮะและผมก็หวังว่าเธอจะไม่ต้องจากผมไป .... แต่พ่อบอกว่าเธอต้องไปอยู่กับน้องสาวของผม..... แล้วเขาก็จ้องมองตุ๊กตาอีกครั้งอย่างอาลัย ฉันรีบคว้ากระเป๋าตังออกมาอย่างรวดเร็ว หยิบธนบัตรออกมา 2-3ใบ แล้วพูด ว่า ทำไมเราไม่ลองตรวจดูอีกที เผื่อว่าเราจะมีเงินพอ ตกลงฮะ เขาพูด 'ผมหวังว่าผมจะมีเงินพอนะฮะ' ฉันแอบใส่เงินของฉันลงในกระเป๋าตังของเขาโดยไม่ให้เขาเห็นแล้วเขาก็เริ่มนับมัน มันไม่ได้มีเงินแค่พอซื้อตุ๊กตาเท่านั้น แต่ยังเหลืออีกด้วย เด็กชายพูด ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานเงินให้ผมฮะ เขามองฉัน แล้วพูดเสริมว่า ผมอธิษฐานกับพระเจ้าก่อนนอนเมื่อวานฮะ ว่าขอให้ผมมีเงินพอที่จะซื้อตุ๊กตาตัวนี้เพื่อแม่จะได้เอาไปให้น้องสาวของผมฮะ แล้วพระองค์ก็ได้ยิน ความจริงผมอยากได้เงินที่จะซื้อกุหลาบสีขาวให้แม่ด้วยฮะ แต่ผมไม่กล้าขอมากเกินไป แต่พระองค์ก็ให้เงินผมมากพอที่จะซื้อทั้งตุ๊กตาและกุหลาบ ... แม่ของผมชอบกุหลาบขาวฮะ' 2-3 นาทีต่อมา หญิงชราก็กลับมา ฉันเดินออกมากับรถเข็นของฉัน ฉันซื้อของจนเสร็จด้วยความรู้สึกที่ต่างจากตอนมาโดยสิ้นเชิง ฉันไม่สามารถเอาภาพของเด็กชายคนนั้นออกจากจิตใจฉันได้ หลังจากนั้นฉันก็จำข่าวที่อยู่ในหนังสือพิมพ์เมื่อ 2 วันก่อนได้ ....เป็นข่าวที่คนขับรถบรรทุกเมาเหล้าคนหนึ่ง ได้ขับรถชนรถอีกคัน .... ที่มีหญิงสาวคนหนึ่งกับเด็กหญิงตัวเล็กๆในรถ.... เด็กหญิงคนนั้นเสียชีวิตทันที แต่แม่ของเธออยู่ในขั้นบาดเจ็บสาหัส ครอบครัวของพวกเขาต้องตัดสินใจว่าจะดึงปลั๊กเครื่องช่วยหายใจดีหรือไม่ เพราะถึงยังไงเธอก็ไม่! สามารถดีขึ้นไปกว่าขั้นโคม่าได้ ครอบครัวนี้จะเป็นของเด็กชายคนนั้นรึเปล่านะ ..... 2 วันหลังจากได้พบกับเด็กชายคนนั้น ฉันอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ว่า หญิงสาวคนนั้นได้เสียชีวิตแล้ว ฉันไม่สามารถหยุดตัวเองไว้ได้ที่จะไปซื้อกุหลาบช่อหนึ่ง แล้วไปที่ Mortuary ซึ่งร่างของหญิงคนนั้นได้ถูกเปิดให้คนได้ดูและอธิษฐานเป็นครั้งสุดท้ายก่อนฝัง ....เธออยู่ในนั้น ....ในโลงศพของเธอในมือมีดอกกุหลาบสีขาวดอกหนึ่ง...กับรูปถ่ายของเด็กชายคนนั้น และมีตุ๊กตาวางอยู่บนหน้าอก ฉันออกไปข้างนอกทั้งน้ำตารู้สึกว่าชีวิตของฉันได้เปลี่ยนไปตลอดกาล ความรักที่เด็กผู้ชายคนนี้มีให้แม่และน้องสาวของเขานั้นจะยังคงอยู่ยืนยาวสุดแก่การจินตนาการ .. แต่เพียงแค่เศษเสี้ยววินาทีเท่านั้น คนดื่มเหล้าคนหนึ่ง ก็ได้พรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเค้า .. ตอนนี้คุณมี 2 ตัวเลือก 1. ส่งข้อความนี้ให้แก่ทุกคนที่คุณรู้จัก 2. ลบข้อความนี้ทิ้งราวกับว่ามันไม่เคยทำให้คุณรู้สึกซาบซึ้ง ถ้าคุณส่งข้อความนี้ ต่อ ๆ กันไป บางทีคุณอาจจะ ช่วยทำให้ใครบางคน.... ...ไม่ต้องสูญเสียชีวิตที่มีค่าไปอย่างน่าเสียดาย.... และ ...ใครบางคน อาจไม่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก... หรือ.... อาจช่วยให้บางคน ไม่ต้องเป็นฆาตกรโดยไม่รู้ตัว เพราะ...เมาแล้วขับ คิดถึงเรื่องนี้เอาไว้ แล้วนั่งรถแท๊กซี่กลับบ้าน ช่วยๆกัน forward ต่อด้วยนะ อย่างน้อย.... น่าจะช่วยใครได้สักคน หวังเอาไว้อย่างนั้น ..... ขอขอบคุณ FORWARD MAIL ดี ๆ จาก กัลญาณมิตรทาง INTERNET..... |