พิมพ์หน้านี้ - โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ๔ ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย

ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน

บทประพันธ์กลอนและบทกวีเพราะๆ => กลอนธรรมะ+กลอนสอนใจ+กลอนธรรมชาติ+กลอนปรัชญา => ข้อความที่เริ่มโดย: kapheetam ที่ 05 สิงหาคม 2024, 04:03:PM



หัวข้อ: โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ๔ ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย
เริ่มหัวข้อโดย: kapheetam ที่ 05 สิงหาคม 2024, 04:03:PM

ลำดับนั้น เทวี มีดำรัส
เล่าความสัตย์ ตรัสความจริง สิ่งสงสัย
ย้อนภพชาติ อาฆาตหลัง ยังฝังใจ
ครั้งคชใหญ่ ได้ทำลาย น้ำใจนาง
ในครานั้น ฉัททันต์ ทำช้ำเหลือ
คอยจุนเจือ ไม่เบื่อคลอ พนอสาง
นางมหา สุภัททา คชาธาร
ทิ้งเราคว้าง เคว้งเศร้า เฝ้าตรอมใจ
จนโชคหนุน บุญพา วาสนาส่ง
มีเหล่าพงศ์ วงศ์พุทธะ คณะใหญ่
เที่ยวดั้นด้น นอนดงค้าง ไม่ห่างไทร
กรีน้อยใหญ่ ให้ดีใจ ได้ทำบุญ
แลครั้งนั้น เราตั้ง มุ่งมั่นจิต
หน้าอามิส อุทิศทาน อภิบาลหนุน
ขอบุญนำ อำนวย ช่วยเจือจุน
แก้แค้นสุม รุมใจ ให้ได้เทอญ
เหตุฉะนั้น ขอพรานท่าน อย่าพรั่นจิต
ปลุกความคิด ดำริใจ ให้ฮึกเหิม
ออกสืบเสาะ ลัดเลาะป่า ฝ่าดำเนิน
อย่าช้าเนิ่น เร่งเดินทาง ตามคชินทร์
หากสามารถ พิฆาตสาร ล้มช้างได้
ข้าจักให้ ไพร่ทาส มากทรัพย์สิน
เรือกนาสวน ถ้วนทุกแห่ง แหล่งทำกิน
เก็บส่วยสินไหมนา ห้าตำบล

เจ้าพรานฟัง รางวัลงาม พลางยิ้มร่า
สุขอุรา ตาโปนเหลือก เกือบถลน
อ้าปากค้าง น้ำลายไหล สบใจตน
รีบผสมผเสตาม นางบัญชา
จึงถามองค์ นงราม งามเลิศลักษณ์
กิจวัตร ดำรี มีใดหนา
เช้าท่องไหน บ่ายพักใด วานไขมา
เกล้าจักหา เวลาปลอด ลอบปลิดปลง
ท้าวสนม สมจินต์ ยินพรานถาม
กำหนดการ ยามท่อง ล่องไพรสณฑ์
แลยามหลับ พักบ่าย คลายร้อนรน
เจ้าดำไร ให้ฉงน เป็นกลใด
จึงตรัสตอบ บอกไป ในข้อวัตร
ให้ประจักษ์ หัสดี มีไฉน
สายท่องป่า หาอาหาร เบิกบานใจ
บ่ายพักไทร ใกล้สระน้ำ สำราญชล
หลังขึ้นน้ำ นรการ พานเลี่ยงหลบ
ปลีกสงบ ลดรำคาญ ความสับสน
ยืนตากลม บนลานดิน สิ้นกังวล
ไร้พหล พลพรรค พิทักษ์กาย
เพลานั้น ท่านจึง ถึงโอกาส
เข่นพิฆาต ปลาตหนี ลี้หลบหาย
พ้นจากนี้ ไม่มีที่ ฆ่ากรีตาย
จักอุบาย ลวดลายใด ให้คิดเอา

เมื่อนั้น พรานไพรไตร่ตรอง ลำพองจิต
ครุ่นดำริ ตริเหลี่ยมคู ดูไม่เขลา
ต้องขุดหลุม ซุ่มใต้ดิน ลอบยิงเอา
ใกล้ลานดิน คชินทร์เจ้า เหล่าดำไร
ครั้นนาเคศ ผู้เอกหนึ่ง ยืนผึ่งน้ำ
อยู่บนลาน ข้างหลุมดิน น้ำรินไหล
หล่นจากกาย เจ้าพลายงาม ลามแผ่ไป
หยดใส่หัว ข้าเมื่อไร ได้ตายพลัน
จึงยิ้มร่า หน้าบาน ลนลานตอบ
คุกเข่าหมอบ บอกเจ้านาง จางโศกศัลย์
เกล้าสัญญา ตัดงาได้ ไม่นานวัน
โปรดสรวลสันหรรษา ตั้งท่าคอย
พระเทวี ดีใจ ให้คลายเศร้า
กระปรี้กระเปร่า ทุเลาขึ้น ไม่ซึมหงอย
ประทานทรัพย์ นับพัน เจ็ดวันคอย
เสร็จเรื่องย่อย ค่อยเรียกเจ้า เฝ้าอีกครา

หลังส่งพราน นางเทวี มีรับสั่ง
ให้เหล่าช่าง หนังเหล็ก หลอมเหล็กกล้า
เป็นมีดขวาน สามง่ามศร พร้อมนำพา
เป็นเลื่อยดาบ ปลาบคมกล้า ฝ่าป่าไพร
ถุงหนังใหญ่ ใส่สัมภาระหนัก
วางแถวจัด มัดจุก กันหลุดไหล
ถุงมือหนัง เชือกหนัง ตั้งเรียงราย
เสบียงพร้อม ล้อมกองไว้ ให้ลานตา
ครบเจ็ดวัน คำพระนาง พรานเข้าเฝ้า
หน้าแม่เจ้า ตาวาวน้อม พร้อมอาสา
ดูแข็งแกร่ง แรงมากเหลือ เมื่อสบตา
องค์ชายา ยิ้มร่าเปรม เอมอิ่มใจ
แล้วตรัสให้ นางใน ไปนำผ้า
เหลืองจับตา สง่าชม ชนหลงใหล
กาสาวพัสตร์ ตัดเป็นเสื้อ เพื่อพรานไพร
ไว้สวมใส่ ในครา ฆ่าฉัททันต์
ซ้ำตรัสย้ำ กำชับ กับพรานเถื่อน
อย่าแชเชือน ลืมเลือนพลาด อาจอาสัญ
ใส่เสื้อนี้ ยามที่เจ้า เข้าประจัน
กับช้างนั่น หมั่นเตือนใจ ให้สังวร
พรานบังคม ก้มกราบ ถอยจากลุก
พร้อมจะบุก รุกฝ่า ป่าสิงขร
ยกถุงหนัง บรรจุชุด อุปกรณ์
รายเรียงล้อม บริวาร ชำนาญไพร
ได้ฤกษ์พลัน เจ้าพรานลั่น จรัลเคลื่อน
ออกจากเมือง เรืองศักดา สู่ป่าใหญ่
ขบวนเกวียน เรียงแถวตาม งามจับใจ
ผ่านนิคม ชนน้อยใหญ่ ให้โจษจัน
จนสุดเขต ประเทศแคว้น แดนกาสี
เห็นคิรี มีประหลาด มากสีสัน
จึงหยุดเกวียน เสบียงลง คนแบกกัน
สู่ราวไพร ด้วยใจมั่น ดั้นด้นไป

ผ่านดงไผ่ ทุ่งใหญ่แฝก แพรกป่าแขม
ป่าไม้แก่น ไม้เปลือก แทรกเสือกไส
ผ่านป่าชัฏ ลัดลอดใต้ หนามหวายไป
ถึงเขาใหญ่ ไต่ลูกทอย ขึ้นดอยพลัน
(ภูเขาจุลลกาฬ) ข้ามจุลล มหากาฬ นามบรรพต (ภูเขามหากาฬ)
(ภูเขาอุทกปัสส) ข้ามอุทก ปัสสได้ ให้ใกล้ฝัน
(ภูเขาจันทปัสส) ข้ามจันท สุริยภู สู้ทนกัน (ภูเขาสุริยปัสส)
ข้ามมณี ปัสสกั้น ไม่พรั่นใด (ภูเขามณีปัสส)
ผ่านหกเขา เหล่าพราน ไม่คร้ามเข็ด
ข้ามเทือกเจ็ด เจ็ดโยชน์วัด นับสูงได้
นามสุวรรณ ปัสส สลักใจ (ภูเขาสุวรรณปัสส)
เจ้านางให้ ตั้งใจหา ทอดตามอง
บนยอดสิงค์ ศิขริน กินนรพัก
ถ้ำพำนัก เกินนับได้ ให้สลอน
สูงเทียมรุ้ง รุ่งสว่าง กระจ่างมอง
เชิงสิงขร มองไสว ไทรใหญ่พราย
เจ้าพรานเถื่อน เคลื่อนตา เพ่งหายอด
กินนรลอบ บินลอดถ้ำ พลันลับหาย
พอแลเห็น ให้ตื่นเต้น เร่งเผ่นกาย
มุ่งที่หมาย ตะกายขึ้น ทะลึ่งปีน
เหล่าบริวาร ลนลาน ตามติดหลัง
แล่นหน้าตั้ง งงงันลุก สะดุดหิน
ลื่นถลำ หน้าคะมำ ทิ่มตำดิน
ลุกได้วิ่ง กลัวทิ้งเดียว เปลี่ยวเอกา
พรานฉกาจ เหงื่ออาบตา ขาถลอก
แขนขัดยอก ไม่มอดไฟ ให้หรรษา
นึกถึงลาภ มากมาย หากได้งา
ฉีกยิ้มร่า อุราเปรม เร่งรีบปีน
ครั้นถึงยอด ทอดตา ก้มหน้าจ้อง
เชิงสิงขร มองเห็นไทร ใต้เงื้อมหิน
ลึกจากผา สง่าสูง เกินยูงบิน
ดูใหญ่ยิ่ง มิ่งแคว้น แดนหิมพานต์
เขียวระรื่น ตื่นตา พาเคลิ้มฝัน
งามสะพรั่ง ใบดกบัง ตะวันฉาน
กิ่งมากหลาย สยายครอบ รอบทิศทาง
วัดจากกลาง สิบสองโยชน์ โอบจดกัน
มีม่านไทร ใหญ่น้อย ห้อยระย้า
ทอนประภา พาสุขกาย พลายหลับฝัน
แปดพันย่าน พร่างตา เพลาวัน
ดุจสวรรค์ สรรค์สร้าง ช่างสบาย
ห่างร่มไทร ออกไป ไม่ไกลนัก
มองเห็นสระ จรัสพราว วาวน้ำใส
รอบบึงน้ำ งามพันธุ์พืช พืดเรียงราย
ผลไม้ มากล้น ปนฟักแฟง
ทันใดนั้น พื้นเลื่อนลั่น ฉับพลันสว่าง
เรืองวาววาม งามรัศมี มีหกแสง
แผ่จากงา คชาเผือก ไม่เคลือบแคลง
ต้องพันแสง แข่งรวี สีเลื่อมพราย
เจ้าคชใหญ่ ย่างจากไทร ไปยังสระ
เคียงพารณะ เมียรักคู่ ดูสดใส
ฝูงบริวาร ตามห้อม ล้อมมากมาย
ยาวเป็นสาย รายลิบ ติดตามมา
โสณุดร มองจ้อง คับข้องจิต
ครุ่นพินิจ คิดวิธี กี่สรรหา
ไม่สำเร็จ จักเล็ดลอด หลอกพังคา
ไต่จากผา ลงหาไทร ให้เงียบงัน
จึงร้อนรุ่ม กลุ้มอุรา ปัญหาใหญ่
ทำอย่างไร ลงพื้นได้ ดั่งใจหวัง
เข้าใกล้ไทร ปีนยอดไม้ ซ่อนกายพลัน
รอกระทั่ง ช้างจากหมด ปรากฏกาย
พอเห็นนก ผกผิน บินถลา
ร่อนทาบหล้า ปัญญาผุด ทุกข์หลุดหาย
สั่งลูกมือ ถือร่มหนัง มาทันใด
พร้อมถุงใหญ่ ใส่จอบคราด แลศาสตรา
บอกลูกน้อง ผองเจ้า เฝ้าสิงขร
แล้วคอยหย่อน ผ่อนเชือก จากเทือกผา
กองบนดิน สองวันสิ้น ข้าลับตา
เตรียมตั้งท่า พร้อมยื้อฉุด เมื่อพลุดัง
ครั้นกำชับ ซักซ้อม พร้อมเสร็จสรรพ
เจ้าพรานตัด ใจจำ พลันหันหลัง
เดินหาผา ตามองไทร ไม่อินัง
กางร่มหนัง ถลันโดด โลดลงไป
เสียงลมสี ฉวีกาย ให้ไหวจิต
ตั้งสติ ดำริมุ่ง พุ่งที่หมาย
แม้นถึงฆาต ยากหลบ ต้องตกตาย
แม้นไม่วาย ชีวาตม์ ยากปลิดปลง
พรานถลา ลมพาไกว ไกลที่มั่น
เอียงร่มดัน แนวพลันเปลี่ยน เบี่ยงสับสน
บิดร่มซ้าย ย้ายขวา หน้าหลังจน
จากสับสน ตรงแน่ว เข้าแนวไทร
เห็นไม้ใหญ่ ไม่ไกลกาย คลายอึดอัด
ค่อยขยับ ปรับแนวลม ตรงที่หมาย
ลงยอดไทร ไม่ไหวลั่น กลั้นหายใจ
มองลอดใต้ ใบไม้ดู ไร้หมู่กรี
จึงถอนใจ สูดลมใหม่ เข้าใส่ปอด
หุบกระบอก สอดร่มเสร็จ เก็บเข้าที่
นั่งพักกาย คลายล้า หาวิธี
มองหาที่ ขัดห้างเฝ้า เหล่าผองพลาย
ตกบ่ายแก่ แลไกล ให้ใจหวั่น
เห็นฉัททันต์ ขึ้นน้ำมา กายาใส
หยดน้ำพราว งาวาวสี มีประกาย
เดินเฉียดใกล้ ไทรงาม ไปลานเตียน
ปล่อยพลพรรค พักไทร ไม่พบปะ
ปลีกตนผละ ละวุ่นวาย หลายหลากเสียง
ย่างเดียวดาย สบายนัก ลมพัดเวียน
ไกลจากเสียง สำเนียงร้อง ผองเหล่ากรี
ถึงลานดิน คชินทร์เจ้า ย่างเท้าหยุด
ไร้โคบุตร ซุกซนใกล้ ให้สุขี
สายลมไพร ไหวระรื่น ชื่นฤดี
ฟ้าอาบสี แดงเรื่อ สุขเหลือใจ
ท้าวฉัททันต์ เข้าภวังค์ ดื่มด่ำจิต
พริ้มตาปิด สนิทเห็น เช่นหลับใหล
น้ำเกาะกาย รายลงดิน ซึมสิ้นไป
เจ้าพรานให้ ไตร่ตรอง จ้องมองพลัน
ไหลเป็นทาง ประมาณวา แทรกหล้าหาย
พรานเถื่อนชาย ตาจ้อง ต้องสรวลสันต์
แสยะยิ้ม ฉัททันต์สิ้น ไม่นานครัน
ปลงใจมั่น นั่งหลับนก บนคบไทร

ครั้นรุ่งสาย พลายพล มาตงค์เผ่า
พาฝูงเข้า ลำเนาป่า ลับตาหาย
เจ้าพรานเห็น เผ่นจากห้าง ลงล่างไว้
มือขวักไขว่ ใช้เลื่อยขวาน จามไม้พลัน
ตัดเป็นเสา ราววา ห้าหกท่อน
เลื่อยตัดทอน รอนกระดาน ตามทีหลัง
ไว้วางทับ ประกับเสา ยาวรับกัน
ฟั่นเถาวัลย์ ทำเชือกรัด ไว้มัดตรึง
แล้วขุดหลุม รุนดิน ทิ้งในป่า
ลึกหนึ่งวา หน้าจตุรัส ปักเสาขึง
ผูกคานรัด มัดหัวเสา สี่เส้าตรึง
แผ่นไม้ขึง ทับคาน ต่างหลังคา
เจาะกระดาน กึ่งกลางโหว่ โผล่หัวได้
เลื่อยแผ่นไม้ ไว้ปิดรู ดูเหมือนฝา
ทายางไม้ ไว้ด้านบน ขนดินมา
โรยแผ่นฝา ติดหน้าแข็ง แกร่งเหมือนดิน
หยิบผ้ากา สาวพัสตร์ มาผลัดเปลี่ยน
แกะเสบียง เกรียมข้าวตาก สากดั่งหิน
แช่น้ำก่อน อ่อนมือจับ ค่อยตักกิน
ครั้นเสร็จสิ้น นิ่งในหลุม ซุ่มพักกาย