พิมพ์หน้านี้ - โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ๓ ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย

ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน

บทประพันธ์กลอนและบทกวีเพราะๆ => กลอนธรรมะ+กลอนสอนใจ+กลอนธรรมชาติ+กลอนปรัชญา => ข้อความที่เริ่มโดย: kapheetam ที่ 04 สิงหาคม 2024, 07:25:PM



หัวข้อ: โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ๓ ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย
เริ่มหัวข้อโดย: kapheetam ที่ 04 สิงหาคม 2024, 07:25:PM
จึงวันหนึ่ง ให้ถึง ซึ่งโอกาส
โฉมพิลาส มากแสร้ง แกล้งโศกศัลย์
อ้างเป็นไข้ ใจรุ่ม กลุ้มจาบัลย์
เอาน้ำมัน ทากาย หมายหลอกไท
องค์วิภู รู้ข่าว รวดร้าวจิต
นั่งไม่ติด ผิดอาการ เหงื่อพานไหล
รีบย่างองค์ ตรงหา ยอดยาใจ
ห่วงโฉมฉาย ใจหายคิด จิตพะวง
ถึงตำหนัก ตรัสถาม อาการสมร
ไยบังอร นอนไข้ ไม่สุขสม
ผิวเหลืองแปลก แผกไป คนละคน
ให้ฉงน นงพะงา ล้าอ่อนแรง
ท้าวสนม บรรทมใน ที่ไสยาสน์
แค่เอ่ยปาก ทำยากยิ่ง ประวิงแกล้ง
พูดสำเนียง เสียงกระเส่า เล่าสำแดง
บอกแถลง แจ้งเหตุ อาเพศไป
เมื่อคืนน้อง นอนฝัน อัศจรรย์เหลือ
ยากคนเชื่อ เมื่อฟัง คำบอกไข
เกิดความอยาก มากประมาณ เกินห้ามใจ
ถ้าไม่ได้ ใจร้อนเร่า เศร้าฤดี
แถมเจ้าครรภ์ พลันกำเริบเสิบสานซ้ำ
แพ้ประดัง ช่างจำเพาะ เหมาะเหลือที่
ช่วยกันรุม สุมน้อง รุ่มร้อนทวี
อยากจักลี้ หนีหน้า ลาจากไกล
แม้ไม่สม อารมณ์ฝัน ดั่งความคิด
น้องคงจิต ปลิดดับ ชีพตักษัย
ใจคับข้อง หมองเหงา เฉาแห้งตาย
แหลกสลาย อย่าหมายคืน ฟื้นชีวี

ธรณินทร์ ยินคำ รำพันกล่าว
ให้ตาวาว เฝ้าจำ คำมารศรี
แพ้ครรภ์ท้อง ร้อนรุ่ม กลุ่มฤดี
จึงยินดี ปรีดา หน้าบานครัน
โอ้นงเยาว์ เจ้าแพ้ท้อง หรือน้องพี่
ยุพดี ศรีไผท ไอศวรรย์
เจ้ามีเชื้อ หน่อเนื้อพงศ์ วงศ์เทวัญ
ในกายนั้น ช่างดีเลิศ ประเสริฐจริง
จึงตรัสถาม อาการแพ้ แลความฝัน
เกี่ยวข้องกัน ฉันใด ไยโฉมฉิน
จึงนอนซม อมไข้ ไม่ยอมกิน
ขอยุพิน ผินหน้า บอกมาที

โฉมนงราม ฟังความ ภูบาลกล่าว
ตีหน้าเศร้า เฝ้าถอดใจ ใคร่ไกลหนี
ให้ลำบาก ยากเอ่ย เผยวจี
แพ้ครรภ์นี้ มีประหลาด หากบอกไป
ก่อนเล่าขาน น้องขอถาม ถึงพรานป่า
ทั่วอาณา วนาลี มีเพียงไหน
ขอพระองค์ ทรงบัญชา มาเร็วไว
จึงจักได้ เผยความนัย ให้ทราบกัน
ภูวไนย ได้ฟัง พลันสงสัย
แต่เร่งไป ในฤทัย ใคร่ทราบฝัน
รีบบัญชา เสนาไพร่ ให้รวมกัน
ตรัสแถลง แจ้งคำ กัลยาณี
เหล่าข้าราช ทราบความ ตามคำบอก
กระจายออก รอบแดน แคว้นกาสี
สามร้อยโยชน์ โอบครอบ รอบธานี
แจ้งวจี ภูบดี มีบัญชา
ให้เหล่าพราน ชำนาญไพร ใกล้ไกลล้วน
ยกขบวน รวมพลัน กันพร้อมหน้า
ตามหัวเมือง เคลื่อนพลเข้า เฝ้าราชา
นับเวลา เจ็ดวันมี จากนี้ไป
ผู้ใดฝืน ขืนขัด ดำรัสสั่ง
ให้โบยหลัง ขังรวม ตีตรวนใส่
ทรมาน งานโยธา เป็นข้าไท
ขออย่าได้ เนิ่นช้าไป ให้รีบมา
หลังแถลง แจ้งราช โองการ
เหล่าผองพราน ชำนาญไพร ใจผวา
จัดเสบียง เตรียมเดินทาง ตามบัญชา
มารวมกัน ยังหน้า ศาลาลาน
แล้วเคลื่อนพล ตรงมา พาราหลวง
หลากขบวน ล้วนหลากวัย ให้ล้นหลาม
ทั้งหนุ่มอ่อน ค่อนแก่ แต่ชำนาญ
เรื่องอารัญ วันพนา ป่าพนอง
ถึงกำหนด ครบกาล ตามรับสั่ง
พรานพร้อมพรั่ง นั่งลานเต็ม เห็นสลอน
บรรณารักษ์ ตรวจนับแถว ทุกแนวตอน
อำมาตย์พร้อม น้อมบอก ยอดพรานไพร
หลังรวบรวม จำนวนพราน ตามดำรัส
ยอดประจักษ์ ช่างนับยาก มากเหลือหลาย
หกหมื่นคน เรียงตนเข้า เฝ้าเทิดไท
ขอทรงได้ ทัศนา หน้าบัญชร
องค์ราชัน ครั้นทราบ เอิบอาบนัก
เสด็จตำหนัก เทวี ศรีสมร
เข้าตระกอง ประคองนำ ยังบัญชร
เชิญเนื้ออ่อน เลือกมองพราน ตามสบาย

เมื่อนั้น..ท้าวสนม สมจิต พิศพรานเถื่อน
ชายตาเคลื่อน พลางเอื้อนความ ยามหลับใหล
ฝันเห็นช้าง งางามวาว ขาวอำไพ
กิ่งงอนใหญ่ ไร้คราบ ปราศมลทิน
เปล่งรัศมี มีประกาย เลื่อมพรายพิศ
หกชนิด พิสดาร เกินช้างถิ่น
ทั่วกาสี หามีเทียบ เปรียบคชินทร์
เหล่าทรัพย์สิน สิ้นหล้า ไร้ค่ายล
แม้ไม่ได้ ครอบครอง สองงาคู่
มีชีพอยู่ หดหู่ใจ ไม่สุขสม
ยากจักขืน  ฝืนขันธ์  ตั้งดำรง
คงไม่พ้น ปลิดปลงอนาถ  จำจากลา
องค์ภูมินทร์ ยินคำ รำพันไห้
ให้ร้อนใจ ใคร่ปลอบ ถอดสีหน้า
มองโฉมฉิน พลันผินพักตร์ หันกลับมา
ประกาศหน้า ข้าภูบาล เหล่าพรานไพร
เจ้าทั้งมวล ล้วนฟัง คำสั่งข้า
ใครได้งา มอบภรรยา ของข้าได้
จักประทาน รางวัลงาม ตามชอบใจ
อยากจักได้ สิ่งใด ให้บอกมา
กามสมบัติ อัครค่า ทั่วหล้านั้น
ข้ากำนัล ปันให้ ไม่กังขา
ทั้งแก้วแหวน  แดงปลั่ง  สุวรรณา
ทาสช้างม้า นาสวน ล้วนเลือกเอา
เหล่าพรานไพร ได้ฟัง พลันฝันหวาน
วาดวิมาน มีบ้านโต โอ่คนเขา
มีเงินทอง กองเรือน เกลื่อนวับวาว
ช่างยั่วเย้า ใจยิ่ง กว่าสิ่งใด
จึงเอ่ยถาม นามกรินทร์ ถิ่นพำนัก
ว่าอยู่ชัฏ พนัสภู คูหาไหน
แคว้นกาสี หามีสาร ดั่งคำไท
ขอจอมไท้ วานบอก ทรงตอบที

เมื่อนั้น โฉมงามฟังพราน เอ่ยถามถิ่น
เจ้าคชินทร์ มิ่งคชา พนาศรี
จึงเพ่งมอง ผองพราน เบื้องล่างมี
หาผู้ที่ มีรูปพักตร์ ดูขัดตา
เนื่องเจ้าชั่ว ทั่วร่าง กลางพรานหมู่
เคยเป็นผู้ คู่เวร จ้องเข่นฆ่า
เจ้ากุญชร คล้องกรรม ผูกพันมา
จักอาสา ราชัน บุกบั่นดง
แล้วนงเยาว์ สะดุดเข้า เจ้าพรานหนึ่ง
จ้องถมึง ขมึงตา ท่าฉงน
เท้าใหญ่งุ้ม ตะปุ่มตะป่ำ ช่างพิกล
เคราแดงล้น พ้นหน้า ตาเหลือกโปน
ท้าวสนม สมจิต พิศอยู่ครู่
จ้องมองดู ศัตรูสาร พลางสุขสม
แล้วชี้หัตถ์ ตรัสเรียกเข้า เฝ้าชั้นบน
ยังตำหนัก บรรทม องค์ชายา

เมื่อนั้น..พรานเถื่อนกายเปื้อนดิน ผินเปะปะ
เห็นนางตรัส ยกหัตถ์ชี้ ที่ไหนหวา
นึกสงสัย พรานใดเล่า เฝ้าชายา
ทั่วผืนป่า ข้าก็แน่ ไม่แพ้ใคร
ครั้นเห็นยาม ยืนทวาร เยื้องย่างหา
มองสบตา ทั่วกายา พาสั่นไหว
เกิดตระหนก วิตกคิด ผิดกระไร
พอยามไข ไท้กาสี มีบัญชา
ให้ตัวเขา เข้าวัง ฟังรับสั่ง
อย่างงงัน ทำซื่อ ทึ่มทื่อหนา
เร่งเร็วรีบ ห้ามกรีดกราย ย้ายย่างมา
ช้าบนบ่า จักหาเศียร เปลี่ยนไม่ทัน
เจ้าพรานไพร ใจชื้น ระรื่นยิ้ม
ให้สมจินต์ วิ่งตามยาม อย่างสุขสันต์
หัวบานเถิก เบิกตามอง ผองเพื่อนพลัน
แบะปากหยัน ลั่นหัวร่อ ห้อตามไป

ถึงทวาร มีนงราม ตามเสด็จ
บอกชั้นเจ็ด ภูเบศรอ พ่ออย่าสาย
พรานงกเงิ่น เดินตาม นางขึ้นไป
พบห้องใหญ่ ให้ไหวหวั่น สั่นฤดี
เห็นธเรศ เนตรขุ่นข้อง จ้องเขม็ง
ตาวาวเด่น เปล่งอำนาจ ราชสีห์
ครั้นสบพักตร์ ธ เอ่ยตรัส ทักทันที
เจ้าผู้นี้ นี่ฤาพราน ชำนาญไพร
ข้าขอถาม นามระบือ ชื่อออเจ้า
เรียกใดเล่า เผ่าประยูร ตระกูลไหน
จึงอัปลักษณ์ ขัดตา กว่าผู้ใด
ข้าสงสัย ให้ฉงน พิกลตา
พรานรูปชั่ว กลัวก้ม บังคมกราบ
แทบสองบาท เอ่ยปากตอบ บอกพงศา
โสณุดร น้อมกรไหว้ ไท้ราชา
คือนามข้าพระพทุธเจ้า เผ่าพรานไพร
ขอพระองค์ ทรงเฉลย เผยหลักแหล่ง
เจ้าพลายแกร่ง แห่งพนา อยู่ป่าไหน
เกล้าจักบุก รุกฝ่า ตามล่าไป
ตัดงาใหญ่ ให้เทวี ศรีสุดา
องค์กษัตริย์ สดับคำ พลันผินพักตร์
เอ่ยโอษฐ์ตรัส กับยาจิต ขนิษฐา
ขอแม่บอก ตอบแหล่ง แห่งคชา
ว่าอยู่ป่า พนาใด ในธาษตรี
พี่จะใช้ ให้พราน ชำนาญดง
ออกดั้นด้น ค้นทั่วแดน แคว้นกาสี
ทุกยอดผา คูหาไหน ใกล้ไกลมี
วอนน้องพี่ เอ่ยมาที ศรีสุดา

องค์โฉมฉิน ยินคำ พลันเยื้องย่าง
ยังหน้าต่าง ไม่ห่างช่อง จ้องภูผา
แล้วตรัสให้ ไพร่พราน คลานเข้ามา
ชี้เบื้องหน้า สุดตาลิบ ทิศอุดร
ถัดเขตแดน แคว้นนี้ มีดงป่า
ใต้อาณา พารณะ อดิศร
เป็นสถาน ตระการตา น่าเพลินมอง
เจ็ดเขาห้อม ล้อมมิด ปิดนัยน์ตา
เทือกสุดท้าย พรรณราย เลื่อมพรายส่อง
แววเรืองรอง ทองประกาย บนไหล่ผา
สวยอร่าม งามตรึง ซึ้งอุรา
นามภูผา สุวรรณ ปัสสคิรี
สูงใหญ่ล้ำ ค้ำฟ้า ท้าเวหน
กว่าพนม หนใด ในกาสี
มีกินนร กุญชรม้า สัมพาที
คชสีห์ อินทรีย์หงส์ ปะปนกัน
สัตว์หลายหลาก มากล้น พิกลแปลก
แฝงตัวแทรก แยกกระจาย ในไพรสัณฑ์
ต่างเริงรื่น ชื่นอุรา ทั่วหน้ากัน
เพลินสุขสันต์ หรรษา ท่องป่าไพร
มวลหมู่ไม้ หลายหลาก มากชนิด
ช่างวิจิตร พิสดาร งามไสว
ชูช่อดอก ออกผล เกลื่อนกล่นไป
กลิ่นรสไซร้ ให้ผิดไกล ไปจากเรา
ณ ยอดสิงค์ กินนร สัญจรพัก
ตั้งยืนหยัด ประจักษ์เด่น เห็นเสลา
สูงเทียมเมฆ เฉกพิมาน กลางฟ้าพราว
เหนือยอดเขา สกาวรุ้ง รุ่งโรจน์เรือง
เชิงศิขริน กินรี มีไทรใหญ่
ใบประกาย เลื่อมคราม งามใดเหมือน
แผ่กิ่งก้าน ย่านพราง ดูลางเลือน
เปรียบเสมือน เครื่องคั่น กั้นนัยน์ตา
เจ้าพญา คชาธาร สำราญยิ่ง
เที่ยวหากิน หิมพานต์ งามใดหา
ชมขุนเขา เงาไม้ สบายอุรา
เหนื่อยก็พา ฝูงพัก พำนักไทร
มีนาคินทร์ คชินทร์สาง ล้นหลามเฝ้า
แปดพันราว งาขาวอ่อน เท่างอนไถ
วิ่งไล่เล่น เป็นยามดู อยู่รอบไทร
กันมิให้ ผู้ใด ใกล้ฉัททันต์
เหล่ามาตงค์ วนเปลี่ยน เยี่ยงทหาร
คอยยืนยาม ไม่ห่างไกล ทั่วไพรสัณฑ์
ก้องเกรี้ยวกราด ตวาดขู่ จู่โจมพลัน
เหยียบขย้ำ ตามขยี้ ไพรีกราย
ขรัวพรานไพร ได้ฟัง พลันเหงื่อท่วม
คิดทบทวน ถ้วนที ฤดีหาย
เปรียบตาบอด เลาะขอบผา ยากฝ่าตาย
คงลับหาย ตายเดียว เปลี่ยวเอกา
จึงร่ำไห้ พิไรวอน องค์จอมเจ้า
เหตุใดเล่า เหล่าเงินทอง ไม่ปองหา
เพชรหลากสี มณีงาม ไม่นำพา
ไยใฝ่หา แต่งานาค ยากสมใจ