หัวข้อ: โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ๒ ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย เริ่มหัวข้อโดย: kapheetam ที่ 03 สิงหาคม 2024, 04:50:PM โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ๒
ถึงป่ารัง แดงสะพรั่ง ดอกรังแก่ ไกวปรวนแปร แลละลาน บานหล่นหล้า ต้องลมหนุน หมุนติ้ว พลิ้วไปมา ร่อนถลา ตื่นตาเพลิน เจริญใจ เหล่ามาตงค์ ดมไร ใจสุขสันต์ เตรียมแย่งดัน ต้นรังสะเทือน สะเทื้อนไหว ดอกหลุดพวง ร่วงร่อน ว่อนพฤกษ์ไพร แล้ววิ่งไล่ ให้สนุก สุขอุรา โพธิสัตว์ ฉัททันต์ ครั้นแลเห็น เหล่ากเรนทร์ นาเคศ ชายเนตรหา จึงเยื้องย่าง ห่างสมร สองภรรยา ก้าวเข้าหา รังใหญ่แก่ แต่ลำพัง ครั้นถึงหน้า พญาไม้ รายใบตก ราชาคช วกพักตร์ มองกลับหลัง เหล่าพลายสาร ผสานพยัก หน้ารับพลัน เจ้าไพรหัน ถลันมุ่ง พุ่งเข้าชน พญารัง สะท้านไหว ใบกิ่งร่วง ช่อดอกพวง ควงว่อน ร่อนสับสน ดอกหมุนติ้ว ลิ่วเข้าหา เหล่ามาตงค์ พลันโกลาหล สับสนสุข สนุกกัน หลังได้ฤกษ์ เปิดงาน การละเล่น เหล่ากเรนทร์ นาเคนทร์สาง ต่างหฤหรรษ์ เที่ยวพุ่งชน ยลดอกไม้ รายร่อนกัน ร้องสรวลสันต์ สนั่นป่า น่าเพลินใจ แต่เมื่อคราว ท้าววารณ โจนถลัน พุ่งชนรัง มดแดงพลัน ระส่ำระสาย ตกกายา ชายารอง หมองระคาย เนื่องอยู่เหนือ ลมไพร ร่วงใส่พอดี ส่วนเกสร ละอองไม้ กระจายพลิ้ว ล่องลอยปลิว เป็นริ้วลง พรมมารศรี ทั่วสรรพางค์ จอมนางใหญ่ ให้ยินดี เหล่าหัตถี ปรีดาร้อง ก้องพฤกษ์ไพร อนุรอง มองเห็น เข่นเขี้ยวโกรธ ลืมตัวโทษ โกรธา ไอยราใหญ่ รักเมียหลวง ห่วงหา เฝ้าอาลัย ส่วนตนไซร้ ไม่คำนึง นึกถึงกัน จึงจดจำ กล้ำกลืนแค้น ฝังแน่นจิต ตามืดมิด ริษยา บ้าโมหันธ์ ไม่ไต่ถาม ความนัย อย่างไรกัน ด่วนสะบั้น ไมตรี ที่มีมา ล่วงเดือนห้า หน้าแล้ง ป่าแห้งหมด ไม่สวยสด ซบเซา เหล่าพฤกษา ต้องแดดเผา เฉาไหม้ ไร้ชีวา มวลช้างป่า พาฝูงเปลี่ยน เวียนสระงาม บ้างหลบแดด แทรกก่าย ใต้เงากร่าง บ้างเบิกบาน สนานชล ลงเล่นน้ำ บ้างหมอบจ้อง ภมรดอม ดอกพลองงาม บ้างเกียจคร้าน พานซุก คลุกโคลนตม ท้าวพญา คชาธาร สำราญว่าย ธารน้ำไหล ใสบริสุทธิ์ ใจสุขสม เคียงสองนาค ขนาบข้าง ไม่ห่างองค์ ดำอาบสรง จนพอควร ชวนขึ้นกัน ยืนโขดหิน หว่างยุพิน ผินมองหมู่ เหลือบแลดู อยู่ไม่ไกล ใจสุขสันต์ เห็นบริวาร สนานสุข สนุกกัน จึงสรวลสันหรรษา หาใดเกิน สองดำรี ศรีภรรยา คชาเจ้า ต่างคอยเฝ้า ดั่งเงาตาม ไม่ห่างเหิน คลอแนบชิด ติดข้าง ทุกย่างเดิน ยิ่งขับเสริม เพิ่มยศศักดิ์ เจ้าฉัททันต์ เพลานั้น มีดำไร ใจอาจหาญ ว่ายสระงาม ดำน้ำตรง ดงบุหงัน โผล่กลางกอ หน่ออัมพุช บุษบัน บานสีสัน ประชันช่อ ล้อลมไกว มีดอกหนึ่ง ช่างสวยซึ้ง ตรึงดวงจิต เบ่งบานผลิ เจ็ดกลีบชู ดูสดใส เจิดจรัส รัศมี มีประกาย งามเฉิดฉาย ไร้ใดเทียบ เปรียบอุบล เจ้าพลายเห็น เผ่นพุ่ง มุ่งเข้าหา ว่ายธารา ฝ่าไป ใจสุขสม ตั้งใจเด็ด เก็บนำให้ เจ้าไพรชม ถึงเหนี่ยวโน้ม งวงถอน ประคองมา แล้วขึ้นฝั่ง ตรงยัง ฉัททันต์เจ้า พลายสารเข้า เฝ้าหมอบ มอบบุปผา นาเคศวร ยื่นงวงรับ ปัทมา พลายพังคา หน้าใส ไกลจากจร หลังรับก้าน บัวบาน คชสารเจ้า พลันน้อมเกล้า งวงยาวชู พรูเกสร ร่วงกระหม่อม กระพองงาม เมื่อยามมอง ยื่นดอกหอม ประคองให้ เมียใหญ่เชย อนุเจ้า ท้าวคชา ชายาสอง เหลือบตามอง คับข้องใจ ใคร่เฉลย รักเมียใหญ่ ไม่แบ่งใจ ให้ตนเลย ปากไม่เผย เอ่ยไป ใจจดจำ แล้ววันหนึ่ง บุญมาถึง ซึ่งผองสัตว์ มีเหล่าพระ คณะหมู่ สู่ไพรสัณฑ์ ห้าร้อยองค์ ทรงพิสุทธิ์ ผุดผ่องพรรณ พักไม่ห่าง สระใหญ่ ใกล้นที ท้าวฉัททันต์ ครั้นทราบ เอิบอาบจิต เกิดดำริ ทิฐิหนุน บุญราศี คิดถวาย หลายหลากภัตร กับมุนี จึงป่าวร้อง ชวนน้องพี่ ทำดีกัน เหล่าพหล พลช้าง เบิกบานยิ่ง พากันวิ่ง เข้าไพร ใจสุขสันต์ เก็บผลหมาก รากไม้ รายรอบพลัน อึกทึก คึกลั่น สนั่นไกล ทั้งกล้วยหอม งอมเหลือ เนื้ออร่าม อ้อยมะปราง ลางสาด มากเหลือหลาย ทั้งเผือกมัน ฝรั่งหม่อน กองเรียงราย แตงลูกหวาย มะไฟหวาน บานพะเนิน ท้าวพารณ คนมะซาง ด้วยน้ำผึ้ง เคล้านวดคลึง ซึมผิวผ่าน รสหวานเพิ่ม แล้วกอบใส่ ใบบัว ทูนหัวเดิน สองนางเสริม ผลาผล ขนตามไป ฝูงไอยรา หน้าใส ใจเปี่ยมสุข ไม่ซนซุก หลุกหลิก ผิดวิสัย เดินเป็นแนว แถวเรียง เคียงกันไป ดูยิ่งใหญ่ โอฬาร ตระการตา ถึงที่พัก พำนักสงฆ์ มาตงค์หยุด เจ้าไพรทรุด คุกเข่ายอบ นอบเกศา เหล่าบริวาร ผสานตาม สารราชา ต่างก้มหน้า น้อมเศียร เตียนติดดิน เจ้าจุลล สุภัททา ภรรยาสอง ตั้งจิตปอง น้อมจิตตรง องค์ทรงศีล ขออานิสงส์ ผลทาน เป็นตามจินต์ ชีพแดดิ้น สิ้นใจ ครรไลลา แม้นเกิดใหม่ ให้สมหวัง ดั่งความคิด หลังจุติ ปิดอบาย ไกลทุกขา เกิดในพงศ์ วงศ์มัททะ กษัตรา มีชื่อว่า สุภัททา กัลยาณี ครั้นเติบใหญ่ ให้รูปร่าง สะอางโฉม ใครยินยล ล้นเมตตา มารศรี เป็นที่รัก สมัครสมาน สามัคคี เจ้ากาสี รักใคร่ ให้โปรดปราน นับแต่นั้น พังเจ้า ไม่เฝ้าติด ไม่ตามชิด สนิทเคล้า เจ้าช้างสาร ไม่ดื่มกิน ไม่สุงสิง บริวาร คืนวันผ่าน สังขารรูป ซูบซีดไป จนวันหนึ่ง ฟ้าให้ครึ้ม ซึมผิดแปลก วังเวงแทรก แนบเศร้า เหงาไฉน เหมือนเป็นลาง บันดาลเหตุ แห่งเภทภัย ผืนป่าใหญ่ เงียบเหลือใจ ไปทั่วกัน กรินีนิ่ง สิ้นใจ ในที่สุด ล้มหมอบทรุด ฟุบดิน สิ้นอาสัญ ชีพสลาย แตกตาย วายชีวัน ไร้คู่ขวัญ ลำพังตน ในดงแดน ร่างทับถม จมดิน สิ้นภพชาติ ตัดไม่ขาด อาฆาตจิต คิดขุ่นแค้น แม้นเกิดใหม่ ฉันใด ไม่เปลี่ยนแปลง ขอตามแค้น ตามอาฆาต ทุกชาติไป ปีวันเลื่อน เคลื่อนผ่าน กาลหมุนเปลี่ยน สุขทุกข์เวียน เรียงสลับ เกิดดับสลาย เคยทุกข์ทน พลันพ้นทุกข์ สุขสบาย เคยเฉิดฉาย กลับกลายพลาด ยากฝืนกรรม สิ้นจุลล สุภัททา ภรรยาสอง เจ้ากุญชร นองน้ำตา พาโศกศัลย์ เฝ้าคำนึง ถึงคู่ เคยอยู่กัน ตรมชอกช้ำ พอวันผ่าน ก็สร่างไป ณ ธานี บุรีเขต ประเทศราช ดารดาษ หลากประชา พาหลั่งไหล สู่สรุก อันสุขแสน แดนอำไพ พราหมณ์ศูทรไพร่ ไร้ทุกข์ สุขสำราญ กิจการ ร้านค้า แน่นหนายิ่ง ทั้งของกิน ของใช้ ให้ล้นหลาม ทั้งภูษา อาภรณ์แพร แลละลาน เงินจักสาน ลายครามเขิน เกินจำนรรจ์ เจ้ามัททะ กษัตรา ราชาใหญ่ ธ มีใจ เมตตา พาสุขสันต์ ไม่ตึงเคร่ง เค้นส่วย เอื้ออวยกัน ทั่วเขตขัณฑ์ ร่ำลือ ระบือไกล ยิ่งใกล้ครบ ทศมาส คาดครรภ์คลอด ทรงประกอบ ครอบคลุม บุญมากหลาย ตั้งโรงทาน ประทานทรัพย์ สลับไป ไพร่หน้าใส เริงรื่นใจ ไปทั่วกัน ครั้นถึงฤกษ์ เบิกฟ้า ชายาประสูติ ธิดาผุด ผ่องพิลาส ดังจากสวรรค์ ผิวอร่าม งามเหลือ หน่อเนื้อทรงธรรม นามลือลั่น สุภัททา กุมารี เมื่อเติบใหญ่ วัยสาว ราวสิบห้า พระบิดา พาเฝ้า เจ้ากาสี ถวายตน ปรนนิบัติ คอยพัดวี องค์ภูมี ปรีดิ์ปลื้ม ชื่นฤทัย จึงโปรดตั้ง นั่งดำรง สนมเอก ใต้เศวต ฉัตรงาม เคียงข้างไท้ มีอำนาจ มากล้น สนมใด หมื่นหกพัน นางใน ใต้บัญชา ซ้ำบุญเก่า เฝ้าเสริม คอยเติมหนุน ช่วยพยุง จิตมั่น ตั้งรักษา เกิดฌานเด่น เห็นอดีต ภาพกรีดอุรา องค์ชายา พาโกรธ โทษฉัททันต์ |