หัวข้อ: โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ๑ ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย เริ่มหัวข้อโดย: kapheetam ที่ 02 สิงหาคม 2024, 11:07:AM โพธิสัตว์ฉัททันต์
ครั้งทศพล ทรงสอน ผองเหล่าสัตว์ ให้สละ ตัดรอน ถอนหลงใหล ขุดรากเหง้า เถากิเลส เหตุเภทภัย เพื่อจิตได้ คลายเขลา เข้านิพพาน มีอยู่ครา องค์มหา มุนีตรัส โปรดบริษัท ณ เชตวันวิหาร หญิงนางหนึ่ง มองเห็นซึ้ง ถึงโทษกาม ให้เกรงขาม ครั่นคร้ามร่วง ห้วงอบาย จึงอำลา ฆราวาส พากเพียรจิต ไม่ข้องติด อามิสโลก โทษเหลือหลาย บวชเป็นสงฆ์ วงศ์เถรี หนีวุ่นวาย ฝึกใจให้ คลายหลง ปลงนิวรณ์ เช้าจรดค่ำ เถรีท่าน เฝ้าย้ำจิต หมั่นดำริ ตริธรรม คำสั่งสอน ยืนเดินนั่ง ท่านกระทำ ตามครรลอง หวังรื้อถอน ผองตัณหา ที่คาใจ ภิกษุณี พลีใจ ให้ธรรมหมด ปลีกเลี่ยงหลบ ไม่คบอยู่ หมู่สหาย เข้าฌานพิศ จิตขันธ์ สรรพางค์กาย บ่ท้อหน่าย คลายเปลี่ยน เพียรฝึกตน แต่มีครั้ง คราท่าน นั่งสดับ ฟังข้ออรรถ ดำรัสธรรม ท่ามกลางสงฆ์ เกิดเผลอจิต พิศมอง จ้องพุทธองค์ ช่างงามสม งามสรรพ ประจักษ์จริง พระรูปโฉม โนมพรรณ รำไพเพริศ จ้าบรรเจิด เลิศหาไหน ในชายหญิง พระปุริสลักษณะ ประทับจินต์ พร้อมอนุพยัญชนะสิ้น ทั่วกายา ยามทรงพัก ประทับองค์ บนธรรมาสน์ พระฉัพพรรณรังสีอาบ วาบนักหนา พร่างระยับ วับวาว พราวนัยน์ตา เกินจักหา ใดเทียบ เปรียบมุนินทร์ พระสำเนียง สุรเสียง จำเรียงเพราะ ฟังเสนาะ ไพเพราะใจ ให้ถวิล แสนดูดดื่ม ปลาบปลื้มเหลือ เมื่อได้ยิน ทั่วหล้าสิ้น เสียงเทียบ เปรียบภูวไนย จึงปรุงจิต คิดไป ในภพผ่าน ถึงเมื่อกาล กัปปี มีบ้างไหม เราเป็นบาทบริจา ข้าจอมไตร ภาพหลังให้ ผุดเด่น เห็นทันที มีอยู่ครั้ง สรรเพชญ เสด็จอุบัติ เป็นจอมสัตว์ นามฉัททันต์ วรรณหัตถี ครองหิมพานต์ ตระการแคว้น แดนพงพี เปี่ยมศักดิ์ศรี มีฤทธา กว่าสัตว์ใด ครั้งนั้นเรา เฝ้าคลอ นรการ อยู่เคียงข้าง วาบหวามจิต พิสมัย ออกเที่ยวท่อง ล่องเขา ลำเนาไพร โตรกโขดเขิน เนินไศล สุขใจจริง จึงเอิบอิ่ม กระหยิ่มใจ ให้ปราโมทย์ จิตสันโดษ พลันโลดออก นอกกรอบศีล เปล่งหัวร่อ งอหาย ชอบใจจริง ลืมตัวสิ้น ทิ้งวัตร สมณะชี แล้วจู่จู่ อยู่อยู่พลัน ท่านก็เปลี่ยน จิตวกเวียน เปลี่ยนมาคิด พิศโฉมศรี อันภรรยา ทั่วโลกา บรรดามี ยากเป็นศรี เป็นศักดิ์ ภัสดา จึงเพ่งฌาน ควานค้น ถึงตนเล่า ครั้งตามเฝ้า เจ้าทันตี ดีไหมหนา หรือมุ่งติ ตำหนิโทษ โกรธภรรดา หรือคิดร้าย หมายฆ่า พร่าชีวัน กาลบัดนั้น ท่านคร้ามใจ วาบไหวจิต ภาพความผิด ติดตราตรึง จึงโศกศัลย์ ผุดสว่าง กระจ่างเด่น เห็นบาปทัณฑ์ ที่เคยพลั้ง พลาดจน ลงอบาย ตนเคยใช้ ให้พราน ผลาญชีวิต ด้วยทิฐิ ปิดตา พาฉิบหาย ยิงศรพิษ ปลิดปลง องค์ดำไร ตัดงาใหญ่ ไอยรา มาเชยชม พอระลึก นึกย้อน อกร้อนเร่า ยากบรรเทา ด้วยตนเขลา เศร้าขื่นขม สุดจักขืน ฝืนใจ ไม่ระทม จึงร้องห่ม หล่นน้ำตา หน้าทักขิไณย พุทธองค์ ทรงแสดง แย้มพระโอษฐ์ ไม่ตรัสโปรด โจษเอ่ย เฉลยไข ถึงเถรี ทีท่า น่าอับอาย สงฆ์ต่างใคร่ ได้ฟัง คำพระองค์ จึงพนม ก้มกราบ เอ่ยปากถาม ถึงอาการ ท่าที มีฉงน ของเถรี นางนี้ ที่ชอบกล ขอพระองค์ ทรงแจ้ง แถลงความ พระโลกนาถ ปราชญ์มุนินทร์ ยินดำรัส ทรงตอบกลับ ตรัสไข ในคำถาม ถึงเถรี มีประหลาด ยากพบพาน เดี๋ยวสรวลสันต์ เดี๋ยวพลันไห้ ไม่เข้าใจ จึงทรงยก ชาดกมี เป็นที่กล่าว ถึงเรื่องราว เล่าขาน นานเหลือหลาย ย้อนภพชาติ มากกัป หากนับไป มีกุญชร ครองป่าใหญ่ ในแดนดง เหล่าหัตถี มีกัน แปดพันเชือก คชาเผือก ผู้เกริกใหญ่ ในไพรสณฑ์ ครองหมู่กรี มีเดชา เจ้าพารณ เที่ยวสุขสม ดงแดน แคว้นหิมพานต์ โขลงมาตงค์ ดำรงพัก ณ สระใหญ่ เหล่าดำไร ลงเวียนว่าย ริมชายน้ำ สระกว้างยาว น้ำใสขาว พราวตระการ แต่ละด้าน ห้าสิบสองโยชน์ โอบจดกัน กึ่งกลางน้ำ หยั่งมิด สิบสองโยชน์ ไร้โตนด โคตรเหง้า เหล่าบัวผัน พลิ้วระลอก กระฉอกซัด รับตะวัน งามสีสัน พรรณราย ประกายแวว ห่างตลิ่ง ถิ่นจงกล แลบงกช ดอกสีสด หมดจดงาม อร่ามแผ้ว แดงชมพู คู่ขาวเหลือง เรืองรองแวว ดุจดั่งแก้ว มณีเด่น เปล่งประกาย ถัดจงกล เหล่าอุบล ปนโกมุท สวยผ่องผุด บุษบัน ช่างเฉิดฉาย นิลปัทม์ สัตตบุษย์ ผุดเรียงราย แผ่ขยาย หลายหลาก ยากเอ่ยนาม ใกล้ตลิ่ง ริมขอบ รอบบึงใหญ่ มวลสาหร่าย รำไรเด่น เห็นในน้ำ พลิ้วเอนไหว ไหลตามคลื่น ระรื่นงาม แพงพวยน้ำ หนามแขยง แซมคู่กัน สันตะวา ไส้ปลาไหล ขาไก่ด่าง ผักเป็ดน้ำ เขียวงามแดง แกมสีสัน พุทธรักษา กกนาทราย หลายหลากพันธุ์ โอนเอนหัน ผันตามลม ชมชื่นใจ ขึ้นจากฝั่ง สะพรั่งไกล ไปหนึ่งโยชน์ ป่าข้าวโพด ข้าวสาลี มีมากหลาย ฝักเขียวนวล รวงอร่าม งามจับใจ ต้องลมไหว ใบสีดัง ฟังชวนเพลิน ถัดป่าข้าว ยาวขนัด แตงฟักเขียว เถาบิดเกลียว เกี่ยวกัน พันยุ่งเหยิง ผลสุกแก่ แต่ละใบ ใหญ่เหลือเกิน แตกแดงเยิ้ม ต้องแดดกล้า น่าเสียดาย ติดไม้เถา ยาวไกล ดงไผ่หว้า กล้วยพุทรา น้อยหน่าปรู ดูหลากหลาย จันมะซาง มะขามหม่อน ซ่อนเรียงราย เหลืองลูกหวาย รายร่วง ท่วมทับกัน เหล่าไม้ผล อุดมเหลือ เอื้อเฟื้อสัตว์ ไม่อัตคัด ขัดใด ในไพรสัณฑ์ อยู่สบาย กายไม่ทุกข์ สุขประดัง ดุจสวรรค์ เมืองแมน แดนหิมพานต์ เลยไม้ผล ดงไพร เขาใหญ่รอบ โอบรายครอบ ดุจกรอบกั้น เจ็ดชั้นขวาง เทือกในสุด ผุดผ่อง เรืองรองงาม เหลืองอร่าม นามสุวรรณ ปัสสคิรี ทิศอีสาน ห่างสระไป ไทรใหญ่เด่น แลมองเห็น เช่นไศล เลื่อมพรายสี ต้องรำไพ ไสวพราว ราวมณี ถือเป็นที่ กรีพัก พำนักกาย ห่างย่านไทร นิโครธใหญ่ แผ่ใบก้าน แลตระการ ยามแดดแรง พันแสงฉาย โคนเตียนโล่ง โปร่งระรื่น ชื่นสบาย คชมากหลาย คลายร้อน นอนพักกัน ช่วงคิมหันต์ เจ้าฉัททันต์ นั้นไม่เปลี่ยว พาโขลงเที่ยว ท่องไพร ใจสุขสันต์ กินไม้ผล ชมไม้ดอก หยอกล้อกัน ร้อนเล่นน้ำ สนานสุข สนุกเชียว ตกยามเย็น เห็นรวี รี่แสงจ้า เจ้าโขลงพา พลพรรค พักไทรเขียว แล้วเลี่ยงหลีก ปลีกตน มาองค์เดียว ยืนโดดเดี่ยว เหลียวดู หมู่บริวาร เย็นพระพาย ชายเฉื่อย ระเรื่อยอ่อน ทิพากร รอนแดง แสงผสาน สัตตบุษย์ หลุบดอกใบ ในสระงาม ฟ้ามืดค่ำ ดื่มด่ำสุข ทุกราตรี เข้าวัสสาน พักกาญจนคูหา เหล่าคชา ว้าวุ่นใจ ไม่สุขี หลบฝนตก นอนขดถ้ำ ชอกช้ำฤดี อยากจักหนี พงพีท่อง ล่องพฤกษ์ไพร จนฝนผ่าน ฤดูกาล นานสิ้นสุด เหล่าโคบุตร ทนทุกข์นาน รำคาญหลาย ออกจากถ้ำ ย่ำดง พงพฤกษ์ไพร ได้ชมนก ชมไม้ ผ่อนคลายเสียที ป่าเบญจพรรณ เต็งรัง ประชันช่อ ขาวลออ ช่อเต็ง เปล่งรัศมี เหลืองอร่าม ดอกรังผ่อง ต้องรวี ต่างแข่งสี แข่งตระการ งามเคียงกัน สิ้นเหมันต์ มวลดอกรัง เริ่มคล้ำแตก กลีบบานแยก แดงแปลกตา คราลมผัน ปลายงอนช้อย ห้อยดอกเห็น เช่นระฆัง หลุดขั้วคว้าง เคว้งพลิ้ว ลิ่วตามลม เหล่าบริวาร เห็นถึงกาล สนานสนุก ไม่เจ่าจุก รุดเฝ้า เจ้าไพรสณฑ์ แจ้งดำไร ไอยรา พาพวกตน เล่นกีฬา ดอกรังหล่น หมุนลมปลิว ท้าวคชินทร์ ยินคำ ดำรีว่า จึงรีบพา สองภรรยา นำหน้าลิ่ว เหล่าบริวาร ตามชิด ติดเป็นทิว แลลิบลิ่ว ริ้วขบวน ชวนเพลินมอง ขวามหา สุภัททา สง่าสาง ซ้ายไม่ห่าง จุลลภัททา ภรรยาสอง บาทบริจา คชาเจ้า เหล่ากุญชร คู่สมร สองกรินี ศรีวารณ ดูแฉล้ม แช่มช้อย หยดย้อยยิ่ง เกินกรินทร์ ถิ่นใด ในไพรสณฑ์ ยุรยาตร นวยนาดย่าง ข้างพระองค์ ช่างงามสม องค์ท้าว เจ้าไอยรา |