หัวข้อ: O ชั่วฟ้าดินดับ .. O เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 25 สิงหาคม 2018, 06:10:PM (https://www.bloggang.com/data/s/sdayoo/picture/1459001590.jpg) O ลมเช้าลูบแผ่นน้ำ - - - กระเพื่อมวง เมื่อรุ่งแสงเริ่มผจง - - - จับฟ้า เลื่อนรอบแล่นริ้วดรงค์ - - - โรยกระทบ ฝั่งเนอ แสงแรก, ลมอ่อนล้า - - - ลูบ, โน้มนำ-คะนึง ฯ O คำนึงวกย้อนสู่ - - - ยามสาง นั้นนา ลมร่ำ, ผืนพลอย-วาง - - - หยาดล้อม จีวร, บาตร, รูป-กลาง - - - กุศลบท กรรทบ, ปรุงแต่ง-พร้อม - - - แวดล้อมประนอมขวัญ ฯ O รูปจีวร-ก้าว, ย่าง - - - หยุด, รอ รูปพักตร์พริ้มเพราลออ - - - นอบ, ไหว้ ข้าวหอมกรุ่น, แดดทอ - - - กระทบรูป หน้าจบน้อม, แดดไล้ - - - ลูบเนื้อเนียนถนอม ฯ O คำข้าว, ช่อดอกไม้ - - - ถวายพระ น้อมรูป, เชิญสัจจะ - - - จบเกล้า น้อมจิต, รับพุทธะ - - - ธรรมท่าน แล้วแฮ ภาพงดงามยามเช้า - - - อยู่, เชื้อเชิญประชัน ฯ O รูปจีวร-ก้าวผ่าน - - - พ้นสมัย เหยียบโลก, ย่ำอาลัย - - - ล่มล้าง รูปเนตรเหลือบ, หฤทัย - - - โยกแกว่ง สบ, นิ่ง, ใจล่องคว้าง - - - สุดคว้า, สุดขืน ฯ O รูปจีวรล่วงพ้น - - - เพียงตา อีกรูป-งำลีลา - - - ลอบชม้าย ธรรมพระแว่ว, เพทนา - - - แนบอก สบเนตร, แววเนตรคล้าย - - - ข่มสะเทิ้น, ครวญธรรม ฯ O หลังภาพ-ผมหล่นล้อม - - - รูปพักตร์, ธรรมพระ, สัมมามรรค, - - - เนตรชม้อย, บาปบุญ, จดจำหลัก - - - ลงจิต คือโลกบัดนั้นคล้อย - - - เคลื่อนเร้าแรงถวิล ฯ O เช้านั้น, นันทิ-ตั้ง - - - ตอบกาล ลมร่ำ, รูปรำบาญ, - - - รูปเจ้า บุญส่ง, บาปสืบสาน - - - สบแม่ ฤาแม่ สบเนตร, เนตรจึ่งเร้า - - - เร่งให้เสน่หา ฯ O คง-บุญพาผ่านพ้อง - - - พบกัน แววเนตรจึงล่ามพัน - - - ผูกไว้ บาปสร้างแต่เบื้องบรรพ์ - - - สุดบิด เบือนแม่ ลบรูป, ลบรอยได้ - - - แต่ด้วยชีพสูญ ฯ O หล่นลงแล้วรุ่งเรื้อง - - - รมยา ล่มรูปรอยทรมา - - - มอดเชื้อ รูปนาม, รูปจริต, ปรา- - - - กฎแวด ล้อมเนอ จักขุ, แดด-โอบเนื้อ - - - อุ่นเนื้อทะนุถนอม ฯ O แผ่วลมเช้าป่ายริ้ว - - - โลมวัลย์ อีกรูปนามโลมขวัญ - - - ฝากชู้ แดดเช้า, เลศนัย-บรร- - - เจิด, ส่อง, สื่อเนอ เมิน-ข่มยิ้ม, รับรู้ - - - ร่วมเชื้อเชิญอรุณ ฯ O แดดยามสายรุ่งเรื้อง - - - รัศมี เมื่อรูปนามเริ่มลี- - - - ลาศคล้อย แววเนตร, กอปรท่วงที- - - - เมิน, หลบ โลกแวดล้อม, เนตรชม้อย - - - หยุดสิ้น, พันธนา ฯ O ช่อมาลย์อวลกลิ่นไล้ - - - ลมยอ พลิ้วผ่านเหมือนร่ำรอ - - - แวดล้อม รื่นหอม, รูปงาม-พะนอ - - - แนบจิต พี่แม่ จึงบัดนั้นพรั่งพร้อม - - - ห่วงละห้อย-หวาน, หอม ฯ O ช่อเรียวรูปเด็ดไว้ - - - ในมือ กลีบบอบบางถนอมถือ - - - กริ่งช้ำ ใจเอยหวั่นไหวฤๅ - - - จึงระส่ำ เต้นนา แต่เมื่อแววเนตรล้ำ - - - ล่วง-เชื้อเชิญใจ ฯ O ภาพก้านช้อยช่อขึ้น - - - พะนอลม ซ้อนทับภาพเนตรคม - - - เหลือบค้อน ให้เพ่งผาด-ปรารมภ์ - - - รุมอก รุม-ว่าคือออดอ้อน - - - ออดให้นิวรณ์กระเหิม ฯ O ปรุงปรนสีกลิ่นเรื้อง - - - รมยา ลอยล่องลานเพ-ลา - - - สู่รุ้ง กลีบกรองละลานตา - - - เตรียบค่า ควรเนอ หอมย่อมเกินเขตคุ้ง - - - ครอบฟ้าครองขวัญ ฯ O เพรางายปฐมะเรื้อง - - - รังสิมันต์ มัทนะชมพูบรร- - - - เจิดช้อย เตรียบพักตร์, ผุดผ่องวรร- - - - โณภาส เทียมฤๅ เพียงเนตรเจ้าเหลือบชม้อย - - - มากน้อยประเมินไฉน ฯ O กลิ่นเกลี้ยงกุสุมะรู้ - - - รวยริน อบร่ำคร่ำครวญถวิล - - - หวั่นร้าง หอมเอยหล่อเลี้ยงจิน- - - - ตภาพแต่ แม่นา รูป-กลิ่น-ใจ-ล่องคว้าง - - - ระหว่างห้วงหวานหอม ฯ O เพราพรายโอภาสเมื้อ - - - เมฆบน เหลื่อมละลานอำพน - - - แผ่นฟ้า เมื่อหอมกลิ่นเสาวคน- - - - ธะรสจู่ ใจนา ล่มลบถ้วน, เหลือหน้า- - - - หนึ่งหน้านางเดียว ฯ https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&group=159 (https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&group=159) หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินดับ .. O เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 02 ตุลาคม 2018, 07:24:PM O อุปาทานรูป .. O (https://www.bloggang.com/data/s/sdayoo/picture/1459931683.jpg) ๑๔ O ชลพินธุรินภวะละหลั่ง นภะฝั่งก็พร่างไฟ- ด้วยดาริกาสมะสมัย รุจิไล้ประโลมหลัว O เย็นรื่นเพราะคลื่นวตะระลอก ขณะหมอกก็หม่นมัว เผยร่าง .. ระหว่างพรรณะระรัว- พะ-เหยาะยั่ว .. กะเยียบเย็น O คู่ดาวอะคร้าวรหัสะนัย ก็ประไพประภาพเพ็ญ ยามชายชม้ายพิศะ บ เร้น- นยะเต้นขจ่างตา ๘ O เกิดแต่เมื่อเดือนฉายที่ปลายช่วง- ดาวเลื่อนดวงหันเห .. ลับเวหา แทนที่ด้วยคำมั่นคำสัญญา- ขึ้นค้ำฟ้าแทนช่วง .. ของดวงไฟ O เกิดแต่เมื่อชาติภพบรรจบรูป เมื่อเปลวเทียนควันธูป .. ลอยวูบไหว ภาพแววตาสั่นรัว .. คล้ายหัวใจ- ต้องเลศนัยแรงชู้เข้าจู่โจม O เสียงธรรมพระ .. จะแจ้งสำแดงสอน เพื่อดับร้อนข่มทุกข์ที่ลุกโหม ในอกผู้สั่นระทึกเสียงครึกโครม ฤๅอาจโซรมให้ซบ .. เพียงสบธรรม ? O คำพระว่า .. ตามองสบต้องรูป ใจอาจวูบวาบเผลอ .. ถึงเพ้อพร่ำ ด้วยรูปการหวานหอม .. ช่วยน้อมนำ- พาเหยียบย่ำเวทนา .. สู่อาวรณ์ O คำพระว่า .. อารมณ์หากข่มไหว จงข่มไว้ด้วยธรรมท่านพร่ำสอน ตาสบรูป .. ภพชาตินั้นอาจทอน- ให้ขาดตอนขาดช่วง .. จนล่วงรอย O เสียงพระเทศน์ยังแว่วไม่แล้วล่วง เพื่อคอยหน่วงเหนี่ยวโลกพ้นโศกสร้อย หากแววตาใครหนอเหมือนรอคอย- เหลือบ .. ชม้อยชม้ายสู่ .. ให้รู้ความ O เปลวเทียนและควันธูปยังวูบไหว เมื่ออกใจเสพทราบ .. รสวาบหวาม รูปพักตร์เอย .. โลมรุกเข้าคุกคาม- จักข่มข้ามบ่ายเบี่ยงเอาเยี่ยงไร ? O จนสิ้นเสียงพระเทศน์, แววเนตรนั้น- จากลอบเหลือบสบกัน .. ค่อยสั่นไหว คล้ายเลือดซับแก้มก่ำ .. อยู่รำไร เมื่ออาลัยอาวรณ์ สุดผ่อนลง O เมื่อนันทิ .. ผลิเล่ห์ในเวทนา จนอุปาทานขับ .. ขึ้นรับส่ง สร้าง-ภพชาติเป็นกรรมขึ้นดำรง แรงจำนงก็เผยแล้วผ่านแววตา O อธิษฐาน .. เยี่ยงไรหนอใจนั่น ให้-ผูกพันเฝ้าคอยละห้อยหา ? หรือ-ชาติใดพานพบเพียงสบตา- ให้รองรับเสน่หาทุกคราครั้ง ? O ครั้งนั้น .. คงตั้งจิตอธิษฐาน- จึงสืบผ่านถ้อยคำด้วยน้ำหลั่ง- ลงให้พื้นปฐพินทร์ได้ยิน .. ฟัง- จนรับรู้กำลัง .. ความตั้งใจ O จึงวันนี้ .. รูปน้อยเหมือนคอยอยู่ คอย-รับรู้ .. รับรองความผ่องใส ปรากฎขึ้นเทียบค่าความอาลัย- กับรูปในความฝันจากวันเพรง O เรียวรูปนิ้วจับของประคองถวาย ก็คลับคล้ายรูปนิมิตเคยพิศเพ่ง จันทร์เคยทอแสงปลั่งกลางวังเวง ก็ยังเปล่งปลั่งงาม .. จนยามนี้ O จันทร์ที่ลอยกลางสรวง .. ยังดวงเดิม รูปต่ายเติมแต้มลงยังคงที่ เช่นรูปในแววตา .. กอปรท่าที- แห่งใยดีอาวรณ์ .. ออดอ้อนนั้น O ยังอ่อนโยนอ่อนหวาน .. จนปานว่า- แววในตาลอบชม้ายยังส่ายสั่น สั่งชี้จิตวิญญาณจากวานวัน ก่อนครั้งสัญญาชาติจักขาดวง O เปลวเทียนและควันธูปยังวูบไหว เมื่ออาลัยพิสวาดิด้วยชาติหงส์ เริ่มเร้ารุกคุกคาม-ตั้งจำนง- ต่อรูปองค์เบื้องหน้าอย่าท้าทาย O เหมือนแว่วธรรมพุทธา, เมื่อตาจ้อง เรียวรูปนิ้วจับของประคองถวาย แต่บัดนั้นอุปาทานก็พานกาย เมื่อดวงเนตรนั้นชม้ายเหลือบชายมา O สิ้นเสียงธรรม, นันทิ-กลับผลิช่วง- ขึ้นในดวงจิตคอยละห้อยหา เติมแต้มรูปอภินันท์ ลงสัญญา ชี้, บัญชาให้สำทับชั่วกัปกาล O เสียงพระเทศน์พ้นผ่านไปนานแล้ว ลมยังแผ่วยังพลิ้วเป็นริ้วผ่าน เมื่อ .. ดวงตาพรับพริ้ม เผยยิ้ม .. ปาน- ช่วยเหยียบโลกทรมาน .. ให้ .. ลาญลบ ! O เสียงไก่ขันแว่วฝ่าอุษาสมัย บอกจันทร์ให้งำรอยแล้วถอยหลบ เพื่อเปิดฟ้าแรกวันให้ครันครบ- การบรรจบรูปธรรมแสนอำพน O ลมหนาวพลิ้วผ่านอยู่แต่ตรู่สาง หมอกก็คลี่ม่านพรางทั่วทางถนน หนาวเนื้อตัว, หนาวในหัวใจคน- นั้น-หนาวจนถวิลอุ่น .. ไว้หนุนทรวง O เม็ดน้ำค้างวางหยาด .. เรียงหยาดรับ- การทอดทับแต้มแต่งด้วยแสงสรวง จึงเห็นรูปเพชรพลอย .. นั้นลอยดวง- พร้อมรูปหวงพร่างแพร้วในแววตา O แววระยับวามช่วง .. ในดวงเนตร ค่อยเผยเลศนัยเผดียง บอกเดียงสา ทั้งพฤติ, รูปนาม .. ย่อมล่ามอา- รมณ์ .. ผู้อุปาทานขับ แนบกับใจ O มุขมณีน้ำระยับ .. ย่อมจับจิต- ผู้เพ่งพิศ-อภิรมย์, ฤาข่มไหว เห็นแต่เพียรจับจ้องหมายมองไป เสพรูปนามเพ็ญพิไล .. หวัง-ไขว่คว้า O เห็นงามก็ว่างามไปตามเห็น กับแฝงเร้นกรณีทุกทีท่า ดั่งดวงแก้วเหลื่อมประกายต่อสายตา เพื่อร่ำรอเสน่หาจากตาชาย O เห็นงามคุกคามฝ่า .. แววตาสบ ย่อมบรรจบลุกลามเป็นความหมาย ถวิลแต่คุณค่าอันพร่าพราย ที่โชนฉายแววมณีเป็นสีเดียว O ทุกพื้นเหลี่ยมมุมรัตน์ .. จำรัสแสง เหลื่อมสำแดงรูปรอยให้พลอยเหลียว ผ่านแววตาแฝงเร้น .. ราวเส้นเกลียว- เคลื่อนเส้นเข้ารัดเหนี่ยว .. พันเกี่ยวใจ O แล้วม้วนเส้นม้วนปลายเก็บปลายเงื่อน จนสุดเคลื่อนสุดคลาย .. ต้น-ปลาย .. ไหว เพื่อเสพรับอุ่นอายจากภายใน- อุ่นอาลัยให้ระรุม .. คอยสุมลน O แต่บรรจบก็ลุกลามเป็นความหมาย แววตาคล้ายจำนรรจ์นับพันหน กระนั้นแล้ว .. หวั่นไหว .. และใจคน จักหลุดพ้นพรากได้เยี่ยงไรกัน O เห็นมณีน้ำระยับงามจับจิต ย่อมต้องคิดหมายปอง ตระกองขวัญ เพื่อยึดโยงปักปลูกความผูกพัน ไปชั่วกัปชั่วกัลป์พุทธันดร O คะเนนึกคะนึงอยู่แต่ตรู่สาง ที่แววอางขนางเห็นเกินเร้นซ่อน ที่แสงในแววตาผู้อาทร สบ-เว้าวอน .. เพรียกถวิลเพรียกจินตนา O คะเนนึกคะนึงอยู่ไม่รู้สิ้น เปลี่ยวเหงาย่อมพังภินท์จนสิ้นท่า เมื่อแสงวามผ่องแผ้วในแววตา เผยต่อหน้าพาโลกพ้นโศกซม O แววมณีงามเพ็ญ .. เมื่อเต้นตอบ- โลกโดยรอบเคยระยับก็ลับ .. ล่ม เหลือเพียงงามเบื้องหน้าให้ปรารมภ์ รอขับข่มทุกมณี ในที่นั้น O เม็ดน้ำค้างทุกหยาด .. บำราศแล้ว เหลือเพียงแก้วมณีพราย .. ยังส่ายสั่น ครองภาวะโชนช่วง .. เมื่อดวงวัน- ราวจักบรรลัยล่วง ด้วยดวงตา ! https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=04-2016&date=09&group=11&gblog=650 (https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=04-2016&date=09&group=11&gblog=650) |