หัวข้อ: O นางครวญ O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 14 มีนาคม 2014, 10:03:AM พศ.๒๓๑๐
ยามสิ้นสุด..ราชวงศ์บ้านพลูหลวง ๑๔ ๑. อาดูระพูนอยุธยา ขณะวาระวอดวาย ทวยรัฐและขัตติยะมลาย ทุขะสายก็บรรสาร ๘ ๒. โอ้..เมืองแก้วเมืองฟ้าถึงคราล่ม บัลลังก์จมมอดไหม้ด้วยไฟผลาญ ปราสาทยอดใหญ่โตสูงโอฬาร ถูกพลม่านเหนี่ยวรั้งเผาพังยับ ๓. ท่ามกลิ่นคลุ้งคาวเลือดจากเชือดหลั่ง คือสุดรั้งกายทอดลงมอดดับ หลังพลุ่งเพลิงโหมซ้ำเกินรำงับ คือชีพสรรพทอดเถ้า…สิ้นเงาไท ๔. โอ้…ว่ารอยโศกเศร้าในเงาเนตร จากสุดเขตศักดินาเคยอาศัย กระบวนทัศน์ศรัทธาล้วนปราชัย เหลืออาลัยเรื่องหลังที่ยังคง ๕. ต้องจำพรากจากถิ่นมาสิ้นศักดิ์ ละห้อยหักอาดูรประยูรหงส์ พลัดเวียงวังร้างหมู่มาอยู่ดง กับอีกผู้ซื่อตรงมั่นคงนั้น ๖. คือหนึ่งแกล้วผู้กล้ายังปรากฏ ข่มกำสรดเพื่อใครสิ้นไหวหวั่น เป็นปราการผ่อนค่ารอยจาบัลย์ ร่วมปกป้องคุ้มกันตราบบรรลัย ๗. พระพายเฉื่อย..เริ่มโหมเข้าโลมโลก ดังโบยโบกศรัทธาให้อาศัย หวังนิทราย้อนย้ำความอำไพ สัมผัสใจเยียวยาทุกอารมณ์ ๘. พระเขนยเคยหนุน...เป็นดุ้นพฤกษ์ แกล้วก็นึกกล้ำกลืนกับขื่นขม โอ้..ดอกฟ้าร่วงผล็อยลิ่วลอยลม ความขืนข่ม..ฤๅจะกลบให้ลบเลือน ๙. หัวอกเอ๋ย..เคยหนักด้วยศักดิ์ราช ต้องบำราศรูปรอยมาคล้อยเคลื่อน เคยสูงส่งสุกสกาวดุจดาวเดือน กลับแล่นเลื่อนลอยล่างลงข้างกาย ๑๐. ทูลกระหม่อม..เคยห่มล้วนรมย์รื่น แต่เนตรตื่นชื่นฤทัยอยู่ไม่หาย นางกำนัลหมอบเมียงเฝ้าเรียงราย กลับเดียวดายเงียบเหงา...ใต้เงาจันทร์ ๑๑. จักเค้นชีพบีบชาติมาลาดรับ เพื่อสำหรับนอบน้อม...ใจหม่อมฉัน จักรองภาษพจนีย์ด้วยชีวัน ทอนโศกศัลย์ห่างเหพระเทพินทร์ ๑๒. กระท่อมทับเปรียบว่าเช่นปราสาท เรไรดั่งพิณพาทย์ระนาดศิลป์ ครวญขับกล่อมห้อมให้หนึ่งใครยิน ประโลมถิ่นห้วงฤดีดั่งมีมา ๑๓. โกสุมกลีบดอกก้านประสานประดุจ เช่นมงกุฏแห่งนาฏพิลาสสถา- นะภาพในศักดิ์สกุลผู้บุญญา แทนรูปทรงสูงค่ากลางป่าไพร ๑๔. โสมกลางสรวงแทนดวงอัจกลับ ทอดแสงโลมที่ประทับผู้หลับใหล แผ่วลมผ่าวผ่านฤดีผู้มีใจ กระซิบให้สุจริตสัมฤทธิ์รู้ ๑๕. บรรจถรณ์หมอนม่านย่อมลาญลับ เยียรบับแพรผืนยากคืนสู่ อุบะกรองหอมร่ำสิ้นดำรู ที่ยังอยู่เคียงใจ...ย่อมใจคน ๑๖. อัสสาสะในครานิทราสนิท พาดวงจิตเรื่อยเร่กลางเวหน หมายลับล่วงเรื่องหลังสิ้นกังวล วางชีพชนม์เคียงแกล้วผู้แววไว ๑๗. สิ้นสุดแล้วไอศูรย์จำรูญรัศมิ์ สิ้นจำรัสบริบทเคยสดใส สิ้นประยูรวงศ์นาถบำราศไกล สิ้นจากไร้รอยบุญเคยหนุนนำ ๑๘. อุษาสาง...พลางถวิลถึงปิ่นเกล้า เคยแหนเฝ้ากลับผวนเป็นครวญคร่ำ คง..อำนาจกฎเกณฑ์ของเวรกรรม มาช่วยย้ำช่วยยุดจนสุดรอย ๑๙. ปานฉะนี้ปิตุราชมาตุเรศ จะเทวษกำสรดใจถดถอย จักลำบากทดท้อท่ามรอคอย หรือละห้อยถึงบุตรก็สุดเดา ๒๐. สิ้นแผ่นดินสิ้นบุญสิ้นคุณค่า แต่นองหน้าหยาดรอยล้วนสร้อยเศร้า เพียงหนึ่งผู้คู่เข็ญยังเห็นเงา ช่วยบรรเทาทดท้อให้พอทน ๒๑. แต่เหลือบเหลียวลืมเนตรสบเลศหนึ่ง แววซาบซึ้งถนอมรับสิ้นสับสน อุ่นหทัยเคียงข้างใครบางคน พาอึงอลขวยเขินสะเทิ้นอาย ๒๒. แม้นอยู่สองต่อสองในห้องเก่า ยังลงเข่ากราบก้มประนมถวาย คงสำรวมใจอยู่...ใจผู้ชาย ว่าอย่าหมาย..สูงส่ง..เกินวงศ์ตน ๒๓. เอื้อมหัตถ์เนียนจับกรที่ซ่อนอยู่ ย้อนนัยสู่รำงับความสับสน ว่าสิ้นแล้วช่วงต่างระหว่างคน สร้อยกุณฑลจะพาดสายบนกายนี้ ๒๔. แล้วเลื่อนองค์ทรงร่างอยู่กลางอก แกล้วก็ปกกรป้องตระกองศรี สะท้านด้วยแววตาและท่าที อ้อมอารีก็โอบอุ้มเข้าหุ้มเนื้อ ๒๕. วิเวกแว่วลมไหวยอดไม้แกว่ง แม้นโศกแห่งเบื้องหลังจะยังเหลือ หากอาวรณ์อบอุ่นได้จุนเจือ สองใจเอื้อปลิดสร้อยกลบรอยกรรม ๒๖. อธิษฐานผ่านวาสน์ให้พาดช่วง ทุกภพล่วงพบเจอให้เพ้อพร่ำ ใจทั้งดวงรอคอยทุกรอยคำ จนเนื่องนำน้อมสู่เป็นคู่เคียง ๒๗. ใจต่อใจดังว่าร่วมสาธก ท่ามเหล่านกเขาไพรที่ให้เสียง พระพายเอื่อยคนแนบแก้มแอบเอียง เสนาะเพียงสองใจเต้นไหวรับ ๒๘. กรุ่นมาลีไหนเห็นจะเช่นหอม ดั่งใจหลอมลึกล้ำเป็นลำดับ วงแขนแกร่งโอบย้ำดั่งกำชับ ว่าแม้นยับชีพวายไม่คลายคลอน ๒๙. แรงสุดถิ่นดินฟ้ามหาสมุทร ฤๅอาจฉุดจิตชายให้ถ่ายถอน ลึกล้ำห้วงน้ำสวรรค์สีทันดร ฤๅเทียบตอนลึกล้ำแห่งจำนง ๓๐. ถ้วนถิ่นแถนแมนสรรพ..โปรดรับรู้ จักเชิดชูอยู่ข้างด้วยนางหงส์ ตราบสุดช่วงชีวิตถึงปลิดปลง จะยังคงรอกัน...นิรันดร. http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=07-2006&date=06&group=1&gblog=41 (http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=07-2006&date=06&group=1&gblog=41) หัวข้อ: Re: O นางครวญ O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 18 มีนาคม 2014, 07:24:PM O คำมั่น .. คำสัญญา O
O หวั่นเช่น .. น้ำค้างใสเกาะใบพฤกษ์ ครั้นยามดึกหยดรินให้ถิ่นรื่น จวบรุ่งสางสิ้นพลบแสงกลบกลืน ก็สุดฝืนแววระยับ .. เคยรับรู้ O น้ำใจหลั่งปรนปรุง .. เช่นรุ่งสาง- เกลื่อนเกล็ดแก้วน้ำค้าง .. พรายพร่างอยู่ ต้องแสงเช้าเหือดสิ้น .. หยาดสินธู ถวิลสู่ .. ย่อมต้องต่าง .. น้ำค้างนั้น O ใช่เพียงแค่คืนค่ำ .. ที่ฉ่ำชื่น- หากที่ยื่นหยิบให้คือ .. ไหวหวั่น ประโลมทรวงอบร่ำ .. ด้วยรำพัน ก่อนห่างเห็น .. เพียงวัน .. ยังหวั่นคอย O หยาดน้ำค้างต้องแสง .. อาจแห้งหาย ที่มุ่งหมายอาลัย .. ก็ใช่ย่อย ย่อมเต็มเปี่ยมหมายปอง .. ทุกร่องรอย แม้นเพียงน้อย .. ร้างหวัง .. รึยังมี ..? O น้ำใจ .. ใช่น้ำค้างเมื่อสางตรู่ แสงตะวันทอดสู่ .. ไม่รู้หนี เมื่อแปรเป็นเยื่อใยและไมตรี ย่อมสุดที่สุดทาง .. จักร้างลา O ย่อมมิใช่ดวงพิลาสของหยาดแก้ว เหือดแห้งแล้วจากแหล่งเมื่อแสงจ้า ย่อมจะไม่รวนเรด้วยเวลา ย่อม .. ต้องตราตรึงอยู่ .. ไม่รู้เลือน O ควรต้องหยด .. พร่างพร้อยเป็นพลอยประดับ ลงสำทับใจอยู่ไม่รู้เคลื่อน เฉกน้ำค้างวับวาว .. ใต้ดาวเดือน เอื้อไพรเถื่อนฉ่ำชื่น .. ทั้งคืนวัน O ร้อนพันแสงจากสรวงแม้นล่วงสู่ หมายหยัดสู้รังสีไม่มีหวั่น หวังหยาดให้รองรับ .. ชั่วกัปกัลป์ ประโลมขวัญ .. รื่นอยู่อย่ารู้แล้ง O หวัง - สังคีตพรรณนา .. แว่วคราค่ำ แทนความ, คำห่วงละห้อย .. เรียงร้อยแต่ง ความอาวรณ์อาลัย .. ล้อมใจแพง ว่า-นัยแฝงรำพัน .. คือ – สัญญา ! http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=10-2013&date=28&group=11&gblog=490 (http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=10-2013&date=28&group=11&gblog=490) หัวข้อ: Re: O นางครวญ O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 20 มีนาคม 2014, 07:42:AM O ขวัญพี่ .. O
O อีกครั้งและอีกครา .. เพ-ลานี้ สุดหัวใจจะหลีกลี้หลบหนีหาย หลังรูปลักษณ์ละม่อมหน้า-นัยน์ตาชาย- สบ-รำบายรูปเงา .. รุมเร้าทรวง O อีกครั้งและอีกครา .. เกินกว่าซ่อน- แรงอาวรณ์อาลัยอันใหญ่หลวง- ค่อยฝ่าความเปลี่ยวเปล่า .. คล้ายเงาลวง- ของใครนั้นล้ำล่วง .. แทรกดวงใจ O แต่ละคาบแต่ละช่วง .. ในห้วงคิด คล้ายต้องฤทธิ์แทรกซ้อนจนอ่อนไหว ฤทธิ์ซาบซึ้งอ่อนหวาน .. ที่หวานใด- หาเถิดใน .. ปัถวียากมีเทียม O ตั้งแต่แสร้งมอง-เมิน .. แล้ว-เขิน-หลบ ครั้นเผลอสบก็คล้ายคล้าย จะอายเหนียม จนเมื่อสุดข่มใจ .. ข่มให้เจียม ก็เต็มเปี่ยมดื้อด้าน .. เกินต้าน-ดึง O เหมือนถูกจองที่แล้วในแววตา อยู่ค้ำคาห้วงจิตแต่คิดถึง เคลื่อนสายใยปฏิพัทธ์เข้ารัดรึง โอนอบอุ่นหวานซึ้งเข้าตรึงทรวง O เหมือนถูกจอง .. ที่ทางระหว่างที่- อ้อมไมตรีโอบแทน .. อ้อมแขน-หวง อ่อนไหวและอ่อนหวาน .. กว่าหวานปวง ก็หลอมใจทั้งดวง .. ด้วยห่วงใย O ราวว่าใจถูกกัก .. รอนศักดิ์-สิทธิ์ ด้วยแรงฤทธิ์อาวรณ์สุดถอนไหว มีรุ่มร้อนรุกรานเผาผลาญใจ จากอาลัยรูปนิมิตจนติดคา O ยอมเถิดนะ .. คนดี .. อย่าลี้หลบ ยอมสืบภพร่วมชาติ .. ด้วยวาสนา- สองเรานั้นบันดลด้วยมนตรา- จากฤทธาเสกสั่ง .. เทพทั้งปวง O ตะวันลับแสงล่ม .. หรือลมเคลื่อน ดาวจะเลื่อนเดือนพรากไปจากสรวง หากอีกคนจนถึง .. ใจหนึ่งดวง สุดเลือนล่วงลับแล้ว .. นะแก้วตา O ฟังเถิดนะ .. คนดี .. เสียงที่กระซิบ จากดินแดนไกลลิบ .. กระซิบว่า- เพราะตักบาตรร่วมขัน .. ด้วยกันมา เสน่หาจึงรับรอง .. เพียงสองเรา O ฟังเถิดนะ .. คนดี .. เสียงที่กระซิบ จากดินแดนไกลลิบ .. กระซิบเจ้า ปรารถนาพี่แรง..เกินแบ่งเบา- สุดผ่อนเพลาคุณค่า .. ความอาลัย O จากหนาว-ร้อน-แล้ง-ฝน .. ตราบฝนผ่าน- ยังคงหวานหอมอยู่จนรู้ได้ ทุกฝุ่นฝนหล่นล่วง .. จึงทรวงใคร- ยังสั่นไหวซ้ำซ้ำ .. ด้วยจำนง O สดับเถิดคำกรองทำนองเสนาะ ความจะเลาะเร้ารุมให้ลุ่มหลง พินิจเถิดนัยคำ .. ตอกย้ำลง- เพื่อสาปส่งเวทย์มนต์ .. มาดลใจ O .. ว่าอ้อมอก .. อาทร .. รออ้อนซบ- แนบหน้าอบอุ่นขวัญ .. ทอนหวั่นไหว จะกล่อมเกล้าโอบกาย .. คลี่สายใย รัดพันไว้ .. สุดวิถีแห่งชีวัน O หาก-เมินเฉยซ่อนเร้น .. ไม่เห็นหน้า ใคร .. อาจท่วมทรมาถึงอาสัญ หากรอคอย .. ละห้อยเห็น .. ไม่เห็นกัน จะโศกศัลย์สุดเทวษทวีทรวง O รับรู้เถิด .. รอถนอมละม่อมพักตร์ รอโอบกอดกุมกัก .. ด้วยรัก-หวง เพียงหนึ่งที่วาดหวัง .. ใจทั้งดวง จะเลื่อนล่วง .. ลงสำหรับ .. ประดับใจ O ขวัญเอย .. ขวัญพี่ ค่ำคืนนี้ .. ดาวดับเดือนหลับใหล จะแทรกฝัน .. แนบทรวง, พร้อมห่วงใย โอบกล่อมให้นิ่งสนิท .. กลางนิทรา . . แทรกอีกฝัน .. ให้หนุน-เนื้อ, อุ่นไอ โอบขวัญให้เนตรระยับ .. ขึ้น-รับรู้ ! http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=03-2014&date=19&group=11&gblog=525 (http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=03-2014&date=19&group=11&gblog=525) |