หัวข้อ: O หอมกลิ่นร่ำ .. O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 09 มีนาคม 2014, 07:57:PM ที่มา .. http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=04-2012&date=16&group=24&gblog=22 (http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=04-2012&date=16&group=24&gblog=22)
.. ปฐมบท .. O พอสายตาคล้อยหัน .. ก็บรรจบ- งาม-กว่างามชาติภพ .. เคยพบเห็น แววในตาเหงาเงียบดูเยียบเย็น- เหมือนแฝงเร้นเรื่องครั้งแต่ปางบรรพ์ O ในภาพเก่าคร่ำคร่า .. แววตาโศก- เหมือนเฝ้ามองดูโลก .. ปวงโศกศัลย์ ที่ที่ความโอดอื้นทั้งคืนวัน- เกินตัดบั่นลับลา .. จากอารมณ์ O ริ้วแพรเนื้อบางนุ่ม .. ห่มคลุมไหล่ ช่อดอกมาลย์เสียบไว้ที่ปลายผม สังวาลย์เพชรล้ำค่า, แววตาคม- ค่อย-ล้อมห่มดวงจิต .. จนติดตรึง O แววตาซ่อนเร้นความ .. เงียบ .. งาม .. นิ่ง สบแล้วยิ่ง .. เกินหวังจักหยั่งถึง ชั่วสบด้วยวูบเดียว .. ก็เหนี่ยวดึง- ห้วงคำนึงย้อนกลับ .. ลำดับนั้น ! O ตายังจับจ้องรูป .. จิตวูบผ่าน- แววอ่อนหวานในรูปที่วูบ .. สั่น เมื่อเรียวรูปปากอิ่ม .. เหมือนยิ้ม, พลัน- ภาพกาลบรรพ์ก็พรั่งพร้อม .. ขึ้นล้อมรอ ! .. พศ.๒๔๒๗ .. O บริบทงดงาม .. แห่งยามเช้า- ค่อยทอดเงาเคียงหมู่ท่านผู้ขอ ศรัทธาชนในธรรม ราวร่ำรอ- การเติมต่อ .. แต่งหวังอยู่ทั้งเป็น O ฝ่าแสงยามตรู่สาง .. ท่านย่างเหยียบ- ยอธรรมเทียบทุกข์สรรพ .. ช่วยดับเข็ญ เพื่อหัวใจปรุงปองได้ผ่องเพ็ญ ข่มสร้อยโศกหลีกเว้น .. บีบเค้นใจ O ผ่านแสงตรู่ยามเช้า .. กลิ่นข้าวหอม ย่อมอบอวลอยู่พร้อม .. การน้อมไหว้ ฝ่าแสงเงาตรู่สาง .. เหยียบย่างไป ล่มโศกไข้ทุกข์เขลา .. ให้เบาบาง O บริบทยามเช้า ตรู่เช้านั่น ก่อน-ค่อยผันผ่านเลย .. ก็เผยร่าง- เรียวรูปผู้เยาว์วัย .. อยู่ในทาง เหมือนคอยขวาง .. ฝากรูป .. โลมลูบใจ O นิ้วเรียวรูปเคลื่อนขยับ .. หยิบจับลง- ใส่บาตรสงฆ์ .. จากรูป .. สู่รูป .. ให้- ห้วงจิตรู้รมยา .. เกินกว่าใคร- อาจพรากสุขแจ่มใส .. จากนัยน์ตา ! O บริบทยามเช้า ตรู่เช้านั่น กอปร-รูปนาม .. เบญจขันธ์ .. กลางพรรษา สบ .. สัมผัส .. เป็นเหตุ .. ดลเวทนา จวบ-ตัณหา .. อุปาทาน .. ละลานล้อม ! O ตั้งขึ้นเป็น .. ภพ .. ชาติ - แรงปรารถนา โดยแววตาพริ้มพรับ .. คอย-ขับกล่อม ที่เหมือนทั้งเจตจินต์ .. คล้ายยินยอม- เข้าแนบน้อม .. มธุรส เป็นบทเดียว ! O หลังกรุ่นหอมกลิ่นข้าว .. ตรู่เช้านั่น มีดวงขวัญตื่นตอบ .. การลอบเหลียว พร้อมดวงใจปลิดปลิวด้วยนิ้วเรียว- ที่-ใครเหนี่ยวโน้มวางลงกลางมือ ! O ทิวแถวท่านผู้ขอ .. เคลื่อน .. รอ .. ก้าว หาก-ตาวาว-วามอยู่ .. อาจรู้หรือ ? ว่า-ทุกการเคลื่อนขยับ .. พริ้มพรับ-คือ- แรงยุดยื้อไขว่คว้า .. อีก-อารมณ์ ! O แถบแพรขาวบางนุ่ม .. ห่มคลุมไหล่ เสียบแซมกลีบช่อไม้ที่ปลายผม สังวาลย์เพชรวางสาย .. ให้หมายชม- หรือ-เพื่อข่มขับมืด .. ให้จืดจาง ? O ดู-ข้าทาสหญิงชาย .. ที่รายล้อม- แสนนอบน้อม .. นั่ง, ลุก และทุกย่าง- ที่-คอ, หลัง .. ค้อมรับ-หยิบ .. จับ .. วาง- ข้าวของกลางแวดล้อม .. อยู่พร้อมเพรียง O ในท่ามกลางสายตา, รูปหน้านั้น- ค่อยค่อยสั่นโยกใจ .. จนให้เสียง รูปนามแห่งยามเช้าทอดเงาเคียง- การร้อยเรียงธรรมบทลงจดใจ O ในคาบยามบรรจบ .. แห่งภพชาติ- เหมือนเพรงวาสน์พาดช่วงเกินหน่วงไหว จับจูงเอา .. อิริยา .. รูปหน้าใคร- จำหลักไว้ตรึงมั่น .. ลงสัญญา O แล้วรูปนามพริ้มเพราแห่งเช้าวัน ค่อยค่อยผันรูปกลับ .. จนลับหน้า แวบเดียว .. ที่เหลือบคล้ายจะชายตา- ปรารถนาก็ช่วงในห้วงใจชาย O สวยปีกผีเสื้อบินกลางถิ่นทุ่ง ขณะรุ้งทินกรเริ่มชอนฉาย ลมเช้าพลิ้วแผ่วร่ำ .. ล้อมรำบาย แตะร่องรอยความหมายขึ้นว่าย-วน O แดดใสแผ่นฟ้าคราม .. ในยามนี้ เหลื่อมแสงสีอบอุ่นแทนฝุ่นฝน เมฆขาวแทนมืดดำฟ้าคำรน วิหคบนแทนวิชชุที่คุไฟ O งามเงื่อนหางยูงฟ้าในป่าแดด ทอดลงแวดล้อมอยู่ .. จนรู้ได้- ว่า .. อ่อนหวานโลมทั่วทั้งหัวใจ- ด้วยรูปใคร .. เผยองค์ขึ้นบงการ O ระยับแดดเหลื่อมแล้วที่แววขน พร้อมตาคนวาบแล้วด้วยแววหวาน ที่ช่วงใจเต้นรับอยู่นับนาน จนสุดหาญฝ่าบ่วงให้ล่วงพ้น O งามปีกผีเสื้อลาย .. ระบายป่า กระหยับทาทิวเถื่อนอยู่เกลื่อนกล่น ปีกแห่งรักพลิ้วพรายลอยว่ายวน ด้วยหัวใจดิ้นรน .. คิดวนเวียน O โลมแดดอุ่นแอบลมไว้ข่มรื่น เมื่อใจตื่นนิรมิตเกินปลิด .. เปลี่ยน จำหลักรอยแฝงฝาก .. ให้พากเพียร- ว่า-เนื้อเนียนกลิ่นร่ำ .. คือ-จำนง ! O สวยปีกผีเสื้อลาย .. พลิ้วพราย .. ร่อน เมื่ออาวรณ์พิสวาดิด้วยชาติหงส์- ค่อยหลอมรวมหวานหอม .. รอน้อมลง- จบ .. บรรจง .. เสพรับชั่วกัปกัลป์ . . หัวข้อ: Re: O หอมกลิ่นร่ำ .. O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 09 มีนาคม 2014, 08:10:PM .. พศ.๒๕๓๗ ..
O เอื่อยอ่อยลมทะเล .. คล้ายเห่กล่อม พาจิตน้อมนึกย้อน .. กาลก่อนนั่น แถวผู้ขอ, รูปนาม .. ผู้ล่ามพัน- รัดดวงขวัญ .. จบจูบด้วยรูปเงา O หาดทรายโล่ง, ทิวมะพร้าว .. ทอดยาวลิบ น้ำระยิบล้อแดดให้แผดเผา เผยภาพความสดใสแห่งวัยเยาว์, แถวผู้ขอ-ทอดเงา .. ตรู่เช้านั้น O เพียง-วูบเดียว .. ภพชาติก็พาดช่วง แล้วลามล่วงจนใจเริ่มไหวสั่น อีก-วูบเดียว .. ภพชาติก็คลาดกัน หากในสัญญารู้ .. ยังอยู่ครบ ! O คำนึงในช่วงกาล .. อาหารมื้อ ข้าวกรุ่นหอม, เรียวมือ, ยกถือ .. จบ ก่อนรูปกายโค้งค้อม .. ลงน้อม .. นบ- เอาชาติภพยกธรรม .. ขึ้นบำบวง O ภาพ-ที่เคยจ้องดู .. รับรู้ว่า- ต้นวงศาสืบสายมาหลายช่วง- ของเพื่อน-ที่เรื่องหลัง .. สิ้นทั้งปวง- นั้น-คงช่วงโชนอยู่ไม่รู้เลือน O หลัง-อกเมืองร้อนร้าวด้วยข่าวโศก ผลักอารมณ์แห่งโลกจนโยก .. เคลื่อน ความหมกไหม้กรอมเกรียมก็เยี่ยมเยือน- อกผู้เหมือน .. แตกดับอยู่นับปี O ด้วย-โศกนาฏกรรม .. เรือคว่ำจม พาชีพล่มมอดดับอยู่กับที่ หลังเรือต้องคลื่นน้ำเข้าตามตี แผ่นดินนี้ก็ต้องโศกเข้าโยกคลอน ! O ขณะบางรูปเงา ยังเยาว์นัก เขียนอ่าน-อักขรา-รู้ .. อย่างครูสอน อาจรับทราบอยู่บ้างในบางตอน- ของเรื่องราวม้วยมรณ์ .. ครั้งก่อนนั้น O กฎเกณฑ์เช่นโซ่ล่าม .. วางข้ามช่วง เพื่อเหนี่ยวหน่วงความคิด .. เพื่อปิดกั้น ปรุงบทบาทให้ประณีต .. เพื่อกีดกัน- การข้ามล่วงชนชั้น .. จากบรรพชน O เอาสมมุติ .. ยึดถือ-ว่าคือยศ ชี้ .. กำหนด .. สำทับอย่างสับสน จวบสมมุติ .. ฆาตเข่น-ความเป็นคน ก็รู้ควรปลิดป่นให้ปราศรอย ! O น้ำกระเซ็นเต้นฟอง, แดดผ่องแผ้ว เมื่อลมพลิ้วผ่านแล้วอย่างแผ่วค่อย คำนึงรูปแพงทอง .. ใจล่องลอย- สู่ภาพความอ่อนช้อย .. เมื่อคอยพระ O ลมโล้ .. น้ำกระเพื่อมพื้นเหลื่อมรับ- ลำแสงวับวาบปลั่ง .. โยนจังหวะ เช่นรูปนามรายล้อมไม่ยอมละ ฤๅอาจผละพ้นผ่าน .. อ่อนหวานนั้น ? O เมื่อผุดเผยรูปนามคุกคามโลก แล้วคอยโยกคลอนใจจนไหวหวั่น ว่างเว้นฤๅ-รูปพักตร์ .. แม้นสักวัน- อาจกีดกันล่วงแล้วจากแววตา ? O แล้วเรื่องราวรูปนาม .. แห่งยามเพรง เหมือนรอใจรุดเร่ง .. คร่ำเคร่งหา ด้วยอยากรู้อยากเห็นความเป็นมา- ของรูปหน้าพริ้มเพรา .. ตรู่เช้านั้น O ขณะรอบเขตคาม .. สยามประเทศ- กลับต้องเลศกลทรามเข้าห้ำหั่น ถูกแบ่งแยก, ปกครอง .. สุดป้องกัน- ถูกลดชั้นเป็นทาสรองอาชญา O เพื่อต่อต้านบทบาทอำนาจใหญ่ จึงต้องมีหัวใจยิ่งใหญ่กว่า ถ้วนอุบาย ทุกวิธี .. เขามีมา ก็รู้ว่าล้วนอุบายที่หมายครอง O เลศแยบคายดักรอ เช่นขอวาง แม้น-ก้าวย่างลดเลี้ยว-ยังเกี่ยว .. ต้อง โยนเศษเนื้อเถือสับ .. รำงับ-ปอง จนแผ่นพื้นขวานทองพ้นผองภัย O โอหังการ .. รอบรั้ว .. เฝ้ายั่วหยอก- พร้อมกระบอกปลายปืน .. หยิบยื่นให้ ที่ที่เขลารอบด้านล่มลาญไป คือเยี่ยงอย่างของไฟ .. สุมใส่ตน O จนสิ้นชาติสิ้นศัพท์ให้รับรู้- พร้อมนายผู้เผยตัวอยู่ทั่วถนน โมหะการณ์คลุ้มคลั่ง .. ย่อมฝัง-ปรน- เปรอ-เลศกลศัตรู .. ที่รู้คอย ! O ธงของชาติเป็นนาย .. ปัดป่ายลม ไว้เพื่อคอยกด .. ข่ม .. สร้าง-ปมด้อย- แทรกสำนึกลามรุกไปทุกรอย- ของผู้น้อย-บวงเซ่นผู้เป็นนาย O ใช้กระสุนดินดำ .. เป็นคำตอบ- ไว้กดครอบ .. ศักดิ์ศรีจนหนีหาย คืนความจริงสำทับให้อับอาย- ว่า-มีนาย .. ผิวขาวคอยกล่าว .. ชี้ ! O แล้วเพื่อนบ้านคู่แค้นมาแสนนาน ก็ถึงกาลถูกหัก .. สิ้นศักดิ์ศรี ถูกชี้สั่ง .. ใช้สอย-นับร้อยปี อิสระเสรี .. หรือมีรอ ? O ภาพเปลวไฟพวยพุ่ง .. ท่วมกรุงศรี น้ำตา, เลือด-ไหลรี่ .. บัตรพลีต่อ- ขัตติยะจัญไร .. ผู้ใจคอ- ชอบแต่เพียงเคล้าคลอ .. ด้วยนวลนาง- O -ก็ปรากฏสอดรับลำดับช่วง- การย้อนล่วงกาลสู่ยามตรู่สาง แถวจำเลยเลาะเลียบ .. ย่ำเหยียบทาง ค่อยผ่านพ้นเลือนลาง .. ก้าวย่างไป O แว่ว-ล้วนเสียงโอดอื้นในผืนอก ทุกก้าวยก .. เหยียบ .. ย่าง-หรือสร่างได้ ? เห็น-ล้วนความสิ้น-หวัง, กำลังใจ- ที่ขับไขเต็มตา .. เบื้องหน้านั้น ! O เมื่อสามารถเคยมี .. มาหนีหาย เพราะจิตชายในชาติ .. คอยหวาดหวั่น- สิ้นแรงฮึกฮือโหมเข้าโรมรัน ศักดิ์ศรีของชาติพันธุ์ .. ก็บรรลัย O ด้อยสามารถ .. หาก-รุมเข้าอุ้มชู เมื่อสบศึกศัตรู .. ฤๅ-สู้ไหว ? คะเนนึกตรึกตรองทำนองใด- ล้วนยาวไกล .. เทียบก้าว .. เพียงก้าวเดียว ! O ยกชนชั้น-มือเท้า .. เป็นเจ้านาย ความฉิบหายถ้วนสรรพ .. ก็ขับเคี่ยว เอาหางยกขึ้นชู, แม้นครู่เดียว- อาจล่มลาญแม้เสี้ยวส่วน .. เดียวนั้น ! O ด้อย, สามารถ, เด่น, ดี .. ดูที่ผล ว่า-อับจน, โศก, ทุกข์ หรือสุขสันต์ หรือจำเริญก้าวล้ำ .. จนสำคัญ หรือชาติพันธุ์ท้องกิ่ว .. ผู้หิวโซ ? O มอง-อาการ, พจน์, ภาพ .. แล้วปลาบปลื้ม ด้วยหลงลืมสำรวจ-คำอวดโอ้ ย่อมคือเหตุเภทภัยอันใหญ่โต จากความโง่เขลานั้น .. แต่บรรพกาล ! O เมื่อศัพท์เสียงจากอดีตยังหวีดแว่ว อยู่ในแก้วหูคน .. ยากพ้นผ่าน สอดแทรกภาพไฟควันจากวันวาน จิตวิญญาณรับรู้ .. จึงรู้เอง- O-ว่าที่หลงสมมุติ .. เฝ้ายุดยื้อ- ด้วยสองมือ-กอดกำ .. อย่างคร่ำเคร่ง ล้วนจากจิตวิญญาณดื้อด้าน-เกรง- กลัวพิศเพ่งแล้วเห็น .. ความเป็นมา ! . . หัวข้อ: Re: O หอมกลิ่นร่ำ .. O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 09 มีนาคม 2014, 08:33:PM .. บ้านริมน้ำ ปลายถนนสาทร ..
O บ้านริมน้ำสาทร .. ลมว่อนไหว น้ำก็ไหลล้อแดดที่แผดจ้า คนสวนและสาวใช้เดินไปมา เตรียมโต๊ะตั่งปูผ้าที่ท่าน้ำ O ร่มกางบังร้อนแรงไอแสงสูรย์ ที่เพิ่มพูนฤทธิ์ข่ม..เย้ยลมร่ำ รูปหนึ่งเนตรแจ่มใสด้วยใฝ่ธรรม ค่อยย่างย่ำหญ้าเขียวเลาะเลี้ยวมา O มุมปากมารดาเพื่อน .. คล้ายเปื้อนยิ้ม ความเอิบอิ่มผ่องใสเต็มใบหน้า มือรับไหว้ .. โดยเจตอันเมตตา- ต่อ-บรรดาเพื่อนลูกที่ผูกพัน O ก่อนนั่งลงร่วมในวงสนทนา พร้อมกับบางสายตาเบื้องหน้านั่น- มองด้วยความเคารพเมื่อพบกัน ยินดีนั้นก็ท่วมทับอยู่กับใจ O หมายรับรู้รับฟังเรื่องครั้งก่อน ที่ห้วงจิตรุมร้อนเกินผ่อนไหว ปรุง-พากย์พร้อมจับจูงผู้สูงวัย สู่กาลไกล .. สืบค้นด้วยสนทนา O แล้วเรื่องราวรูปนามแห่งยามก่อน เหมือนกลับย้อนเดินเรื่องอยู่เบื้องหน้า ภาพในจินตนาการค่อยผ่านตา- เป็น-รูปนามงามสง่า .. ท่วงท่าที O เห็นบ่าวทาสมากครันเดินกันไขว่ กลางเรือนไทยแวดล้อมอยู่พร้อมที่ ไม้ร่มรื่น, ผืนหญ้าจดวารี- ก็เผยรูปเขียวขจี .. ขึ้นจับตา O ไม้เหยียดกิ่งก้านรอ .. แดดทอต้อง เมื่อลมล่องผ่านเยือนริมเขื่อน .. ท่า รูปหนึ่งมองเหม่อลอย .. นั่งปล่อยอา- รมณ์ .. ตามสายน้ำ-บ่า .. แดดจ้า-ทอ O บนเสื่อ-ถาดดอกไม้วางไว้คอย- การจับร้อยเรียงช่วง .. เป็นพวงช่อ- หอมเพื่อคอยเหนี่ยวนำ .. ใจ-ย้ำยอ- ยกปัญญาคอยรอ .. ตรองข้อธรรม O วัยสิบเก้ารูปนาม .. งดงามพร้อม- ความอ่อนน้อมเผยสู่ให้รู้ .. สัม- ผัส .. แล้วแต่งชาติภพบรรจบ .. นำ- รูป .. อิริยา เก็บงำ – ไว้คำนึง O แววใคร่ครวญในตา .. กอปรท่าที ของความที่ความเห็นต้องเป็นหนึ่ง ความรู้รอบเลื่องลือ .. จนอื้ออึง- ไปจนถึงรอบวังแต่ครั้งนั้น O บิดารับใช้ชาติ .. ช่วยราชกิจ รูปโสภิตเคียงอยู่เป็นคู่ขวัญ- ดูแลเรือน, บ่าวไพร่ .. อยู่ในวัน- คือแม่ผู้ดวงขวัญผูกพันรัก O สองพี่ชายคือแกล้วในแถวทัพ พร้อมสำหรับ-รุดหน้า .. เข้าฝ่า .. หัก- เข่นชีพปวงศัตรู .. ให้รู้พัก- ผ่อน .. ลงทักทายดิน เมื่อสิ้นลม O เริ่มแต่วัยสิบแปด .. กลางแวดล้อม- ที่เหมือนความแปลกปลอม .. เข้าห้อมห่ม ทุกคืนแรมจันทร์เลือน .. คือเงื่อนปม- รูปงามสมศักดิ์ชาติ .. บำราศรอย ! O บรรจถรณ์หมอนหนุนเคยอุ่นร่าง ยังคงว่าง .. เย็นเยียบทั้งเงียบหงอย จนน้ำค้างวางเม็ด .. ดั่งเพชรพลอย รูปนามค่อยเผยร่างขึ้นกลางเรือน O แล้วจรดเท้าก้าวย่องเข้าห้องหับ บานประตูปิดงับ, กลอน-จับเคลื่อน ก่อนแสงยามตรู่สางจะย่างเยือน การแล่นเลื่อนชาติภพก็จบลง ! O ทอดกายบนที่นอน .. หนุนหมอนนิ่ง เมื่อรับรู้ใจหญิง .. ก็ยิ่งสง- สัย ..ว่าบางวาทกรรม .. บางจำนง- มีเหตุส่งสืบเนื่อง .. จากเรื่องใด ? O บ้านเมืองในเบื้องหน้า .. เผย - ปรากฏ พร้อม -โวหารภาพพจน์ .. เผยบทให้- สบ .. รับรู้ .. รับทราบ .. พร้อมคราบไคล- ของเลศนัยเสแสร้ง .. สำแดง-ปน O ภาพผู้คนเรือนแสน .. เนืองแน่น .. พร้อม- ชุดเขียว, ปืนตั้งป้อม .. รายล้อมถนน ตรงยกพื้นเวที .. ก็มีคน- พูดแจกแจงเหตุผลให้คนฟัง O พอภาพเปลวไฟแปลบ .. นั้นแลบรัว, ควันขุ่นมัวล้อมถิ่น .. ก็สิ้นหวัง สองข้างที่ริมถนน .. ชีพป่นพัง พร้อมแววตาชิงชัง ก็ปลั่งเรือง O คำบรรยายเรื่องราว .. ข้อข่าวแจง- ว่า-อำนาจแอบแฝงปั้นแต่งเรื่อง วาทกรรมกล่อมเขลา .. ฤๅ-เปล่าเปลือง หากต่อเนื่องกล่อมมัน .. ทุกวันไป O คำบรรยายพร้อมภาพ .. ทุกภาพนั้น เพรียกสำนึกพร้อมกัน .. ร่วมฝันใฝ่ กับแนวทางเหตุผล, เพื่อคนไทย- จักเป็นใหญ่ในถิ่นแผ่นดินตน O การชุมนุมเยี่ยงไร .. จึงใหญ่ยิ่ง พาชายหญิงรวมตัวอยู่ทั่วถนน ความตื่นตาตื่นใจก็ไหววน- ทั้งสับสนอลเวง .. ยามเพ่งพิศ O ภาพชายร่างผอมเกร็ง-เสียงเปล่งร้อง สองมือกำไม้พลอง .. ยก-ป้องสิทธิ์ รอฟาดสู้ดินปืน .. ขัดขืนฤทธิ์- ด้วยหัวจิตหัวใจ ที่ไม่กลัว ! O เมื่อร่ำเรียน .. รับรู้ .. ย่อมรู้ว่า เดช, ศักดาเคยข่มให้ก้มหัว ต้องแรงมือโยกสั่น .. ย่อมสั่นรัว เสพรับการเย้ยยั่ว .. ในชั่วยาม ! O เมื่อใคร่ครวญ .. ไตร่ตรอง .. ย่อมมองเห็น ความลำเค็ญ, ขื่นขม-สุดข่มข้าม จากศักดาฤทธิ์เดชครองเขตคาม ปวง-ชั่วร้ายเลวทราม .. ฤๅข้ามพ้น ? O คนถือหอกถือดาบเคยฉาบฉุด- เอาคมกุดชีพอรินทร์จนสิ้น .. ป่น มาบัดนี้ .. ปืนถือในมือพล- รอคำรนเสียงลั่น .. ฆ่ากันเอง ! O เป็นเพียงแกล้วเชี่ยวชาญในการฆ่า กลับถูกบ้าบอดงำ .. จนคร่ำเคร่ง- กับยศศักดิ์, อำนาจ ไม่หวาดเกรง- การพิศเพ่ง-จากชนชั้น .. ใช้ปัญญา O จมปลักกับนักรบ .. ที่ครบเครื่อง- การโกงกินทุกเรื่องที่เบื้องหน้า เพื่อสังคมผู้ดีได้ตีตรา- รสนิยมสูงค่า – เมียหาซื้อ ! O โอ .. วิญญาณนักรบบนภพพื้น โอบกอดปืน ให้เห็น - แล้วเซ็นชื่อ- อนุมัติโครงการ, เงินผ่านมือ- แย่ง, ยุดยื้อ, เม้ม, ครอง-เป็นของตน O สะสมเงินแฝงฝากจนมากยิ่ง กระทั่งหยิ่งจองหองทำพองขน ลืมกำพืดเงินเดือน – ว่าเปื้อนปน- กับเงินทองฉ้อฉล .. เงินคนไทย ! O บ้านเมืองในเบื้องหน้า .. ยัง - ปรากฏ ถ้อยคำมดเท็จแฝงเลศแต่งให้- ผู้ด้อยการขบคิด .. วางจิตใจ- ลงบนคำปราศรัย .. สาไถยนั้น . . หัวข้อ: Re: O หอมกลิ่นร่ำ .. O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 09 มีนาคม 2014, 08:43:PM .. พศ.๒๔๒๗ ..
O บริบทตรู่เช้า .. หมอก-ขาวมัว ลมโรยตัว .. ลูบไล้ก็ไหวสั่น แถบผ้าขาวป่ายริ้ว-ห่มผิวพรรณ- พร้อมด้วยข้าวในขัน .. มุ่งมั่นรอ O แล้วพิมพ์ภาพงดงาม .. แห่งยามเช้า- ค่อยทอดเงาเคียงหมู่ท่านผู้ขอ ศรัทธาของรูปนาม ก็งามพอ- สืบสาน-ต่อเติมธรรม .. ลงย้ำใจ O คำข้าว..ช่อดอกไม้..ถวายพระ ตอบภาวะศรัทธา .. เพื่ออาศัย- สำหรับน้อมจิตนำ .. พากย์ธรรมนัย- กำหนดให้อัตตานั้นล้าตัว O ข้าวหอมกรุ่นในขัน .. คด .. บรรจง- ใส่บาตรสงฆ์เบื้องหน้าแต่ฟ้าหลัว จวบแสงทองอำไพส่องไล่มัว สุขก็ซ่านเอ่อทั่วทั้งหัวใจ O หากเช้านี้ .. ผิดแผกจนแตกต่าง ชั่วพระย่างพ้น .. พลัน-ที่สั่นไหว- คืออกผู้-เบือนหน้าสบตาใคร- แล้ว-เลศนัยเชิงชู้ .. ก็จู่โจม ! O ด้วยเช้านี้มีชายที่หมายรู้- ว่า-งามผู้แสงรุ้งช่วยปรุงโฉม นั้น .. ฤๅ-เพื่อรอช่วงแข่งดวงโคม- ผ่านรอบโสมนัสช่วงกลางห้วงใจ ? O ดู .. สายตาจับจองความผ่องแผ้ว ก็ล้วนแววเอ็นดูจนรู้ได้ ดู .. สายตาจับจองความยองใย ความอ่อนไหวอ่อนโยนก็โชนแวว ! O เมื่อมีรูป, มีใจ-หวั่นไหวอยู่ อารมณ์ผู้จับจ้องก็ผ่องแผ้ว พร้อมริ้วลมโรยตัวอยู่ทั่วแนว การจับจองรูปแก้ว .. ฤๅ-แล้วเลือน ? O แต่เมื่อตาสบรูป .. การวูบไหว- ของดวงใจ .. คือ-งามเจ้าลามเลื่อน- ยอรูปองค์ .. ล้อมชาติเกินอาจเบือน- สายตาเคลื่อนจากงาม .. แม้ยามเดียว ! O ตาสบรูป .. จิตวูบด้วยรูปนั้น ตั้งแต่หันมองตอบ .. เฝ้าลอบเหลียว ตาต้องรูปร่ำล้อ .. ดั่งขอเคียว- เจ้าคล้องเกี่ยวเหนี่ยวใจ .. เอาไปครอง O เช้านี้ .. จึงช่างแปลกจนแตกต่าง ด้วยเรียวร่างงามที่ไม่มีสอง ด้วยรูปพักตร์รูปเดียวเฝ้าเหลียวมอง โลกทั้งผองก็เหมือนวาง .. ให้ย่างเท้า ! O ไร้ซึ่ง - ความเหงาเงียบให้เหยียบย่าง สิ้นทั้งโลกผืนกว้าง .. เคยว่างเปล่า มีแต่แววซ่อนยิ้ม, ความพริ้มเพรา- ของรูปเงาเบื้องหน้า .. ให้ปรารมณ์ ! O พร้อม-ลมเอื่อยแผ่วผ่านอยู่นานเนิ่น, แววขัดเขินเผยอยู่ .. สุดรู้ข่ม สบ – สัมผัสหอมหวานอยู่นานนม- ดวงใจที่จ่อมจมก็ .. สมยอม O ช่อขาวเกสรปีบ .. รอบีบกลิ่น ต้องลมรินโรยผ่าน .. รสหวานหอม- ก็แฝงฝากลมร่ำให้ด่ำดอม- รื่นรมย์ที่รายล้อม..อย่างพร้อมเพรียง O ยิ่งปีกผีเสื้องาม, ตาวามนัย- แฝงฝากให้อาวรณ์ออดอ้อนเสียง เฉกลวดลายปีกบาง..ลอยร่างเพียง- เพื่อเข้าเคียงหวานหอม..แนบน้อมรส O เมฆขาวเวิ้งฟ้าใส .. ลมไหวแว่ว วันผ่องแผ้วบังเดือนให้เลือนบท หญ้าต้องลมโลมสู่ .. ยอดคู้คด ภู่จ่อจดหวานหอมไม่ยอมลา O นกโผเกาะกิ่งพฤกษ์ .. เมื่อนึกย้อน ถึงช่วงตอนใจละห้อยแต่คอยหา ดื่มด่ำด้วยรูปฝัน .. แรงฉันทา- ต่อเรียวร่าง .. อิริยา .. ท่วงท่าที O ทอดตามองที่นี่และที่นั่น รูปรอยฝัน .. แทรกฝ่าเรื้องราศี กลางลมอุ่นโอบไล้, รอบไมตรี- ก็ค่อยคลี่โอบรับไว้กับทรวง O เมื่อลำดวนฟุ้งกลิ่นรวยรินสู่ หอมก็จู่จบแทนความแหนหวง แรงอาวรณ์ซาบซึ้ง .. ใจหนึ่งดวง- หวัง-ผ่านหอมหวานล่วง .. อีกดวงใจ O ปีกนกยังคลี่กาง .. ร่อนกลางฟ้า กลางแววตา, อาวรณ์ .. แสนอ่อนไหว- ที่ละห้อยแหนหวง .. พร้อมห่วงใย- แต่เพียงผู้เยาว์วัย .. อยู่ในยาม O ลมร่ำสายโชยเฉื่อยคล้ายเหนื่อยอ่อน เมื่อเสียงอ้อนออดชู้ .. สุดรู้ห้าม- คอยกระซิบเร้ารุก .. คอยคุกคาม หลังสบแววตางาม .. วาบวามนัย O ปีกนกกางโล้ลม, อารมณ์ถวิล- ก็หลั่งรินรอชู้ .. ร่วมสู่สมัย- การจับจูงเกี่ยวร้อยทุกรอยใจ กำหนดให้ .. ร่วมย่างบนทางเดียว ! . . หัวข้อ: Re: O หอมกลิ่นร่ำ .. O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 10 มีนาคม 2014, 06:33:AM .. พศ.๒๕๓๗ ..
O ดูเถิด..รูปเรียวร่างคิ้วคางแก้ม- ซับเลือดแต้ม, เนตรชม้อยก็คอยเหลียว- เวียนสบเลศนัยชาย..ที่คลายเกลียว- เข้ารัดเหนี่ยวโอบขวัญ..ลอบพันธนา O ลมเช้าโชยแผ่วมา..ล้อมอารมณ์ เมื่อเนตรคมเหลือบชม้อย..เหมือนคอยท่า สบ..ขัดเขิน..ยิ่งแล้ว..ในแววตา รมยา..ก็วาบ-วกในอกชาย O นัยน์ตาซึ้งโศกหวาน..นั้นซ่านแวว- ความผ่องแผ้วอ่อนโยนออกโชนฉาย มีรูปคราญบริสุทธิ์เป็นจุดปลาย- การทอดสายตาล้อม..ไม่ยอมเบือน O เอนไหวเรียวกิ่งก้าน..ดอกมาลย์สี- ลมวาดวีโลมเลียบก็เปรียบเหมือน- เลศในแววตาวาม..นั้นตามเตือน- จนสุดเคลื่อนคล้อยผ่าน..หอมหวานนั้น O เมื่อมีรูป..มีใจ..หวั่นไหวรูป เช่นลมวูบวาบผ่าน..ช่อมาลย์..สั่น งามเจ้าเอยโลมไล้..ดั่งไฟควัน- แต่จะรุมล้อมขวัญ..ตราบวันวาย O งามปีกผีเสื้อบิน..กลางถิ่นทุ่ง ขณะรุ้งทินกรเริ่มชอนฉาย ลม-ร่ำกลิ่นหอมนักมาทักทาย ความเอียงอายก็อบร่ำในคำนึง O งามปีกผีเสื้อลายบินว่าย-วน เมื่อใจคนต้องพิษ..ความคิดถึง แววแห่งความวุ่นว้า..คล้ายตราตรึง- บนใจซึ้งทราบชู้..เช้าตรู่นั้น O โอภาสแดดอบอุ่น..ล้อมฝุ่นดิน ใจผู้ดิ้นรนอยู่..ฤๅ-รู้หวั่น- กับการไขว่คว้าครอง..ที่พ้องกัน- แต่เมื่อแววตานั้น..คล้าย..สั่นสะทก O งดงามความนัยชู้..ในตรู่สาง- ก็พรายพร่างโลมไล้อยู่ในอก หวานเอย..สุดขับข่ม..เมื่อลมวก- พาหวานปกคลุมครองทุกห้องใจ O ปีกผีเสื้อโบยบิน..ล้อมกลิ่นหวาน เมื่อแรกกาลเบิกบทความสดใส เรณูเสียดช่อช้อย, รูปรอยใคร- ก็เสียดรูปขับไข..ค้างนัยน์ตา O ลืมได้ฤๅ-แววชม้อยชม้ายสู่ แฝงเลศนัยซ่อนอยู่..ให้รู้ว่า- ความรู้สึกอ่อนหวาน..ส่งผ่านมา- ให้ตอบรับคุณค่า..และท่าที O คืนอบอุ่นอ่อนหวาน..ที่หวานกว่า- หวานถ้วนทั้งบรรดา..รูปราศี พร้องลำดับภพชาติ..ขึ้นวาดวี- เยื่อใยดีสั่นพลิ้ว..กลางริ้วลม O เหมือนรูปรอยคุณค่า..ค่อยตราตรึง- ความซาบซึ้งแรงชู้..ลงสู่สม พาอกใจละห้อยหาเฝ้าปรารมภ์- แววเนตรคมเหลือบชม้อย..เฝ้าคอยรอ O ริ้วลมร่ำโชยแล้วเพียงแผ่วค่อย เมื่อจริตอ่อนน้อยเหมือนคอยล่อ- ให้สายตาใฝ่เฝ้าพะเน้าพะนอ ยั่ว..หยอกล้อเสน่หา..แต่ครานั้น O พร้อม – แดดใส..ฟ้าคราม..แห่งยามสาย คือ – เอียงอาย..วุ่นว้า..แววตาหวั่น ชม้อยชม้ายเหลือบสบ..แล้วหลบพลัน- ก่อนทรวงนั่นสั่นสะท้อน..เกินผ่อนเพลา O พร้อม - แดดใสฟ้าครามแห่งยามสาย คือ – ความหมายทอดทับความอับเฉา รื่นเย็นสายลมลูบ..เมื่อรูปเงา- แห่งยามเช้าทอดร่างลงกลางทรวง O และแล้วก็มองเห็นความเป็นไป- ของอกที่โหยไห้..อาลัย-หวง แววอาวรณ์โลมไล้อยู่ในดวง- ตาที่ห่วงใยอยู่แต่ผู้เดียว O สายหยุดเจ้าหยุดกลิ่นแต่สิ้นสาย เมื่อตาชายคอยแต่ชะแง้ - เหลียว บนฟ้า..นกร่อนคว้าง.. เมื่อร่างเรียว- เจ้ากอดเกี่ยวสายตา..ล้ออารมณ์ O โบกบินปีกนกกางร่อนกลางหาว เมื่อเนตรวาววามชู้..เกินรู้ข่ม โลมลูบแดดอุ่นอาย..ด้วยสายลม กลิ่นชื่นฉมกุสุมาลย์..ก็หว่านล้อม O อบอุ่นแดดยามสายโชนฉายสู่ เมื่อลมชู้พลิ้วผ่านทุกย่านหย่อม โดยแววตาผ่านนัย..โดยใจยอม- ร่วมหล่อหลอมนัยชู้..ร่วมดูแล O ดูเถิด..รูปเรียวร่าง..คิ้วคาง..แกม- ริ้วเลือดแต้มสองปราง..ดุจร่างแห- เหวียงลงครอบคลุมใจ..เกินไหว-แปร- เปลี่ยน-แกะแก้, ผูกพันจนมั่นคง O ที่สถานศึกษา .. แววตาชาย- สบ-แพ้พ่าย, เร้ารุม .. ด้วยลุ่มหลง พร้อมกับความอ่อนหวาน .. แผ่ซ่านลง- ซาบทรวงให้จำนง .. รูปองค์นั้น O ราว-พิมพ์รูป .. พิมพ์ลักษณ์ .. พิมพ์พักตร์ผู้- รอรูปธรรมย่างสู่ .. เช้าตรู่นั่น อิริยา .. จับทำยิ่งสำคัญ- เยี่ยงรูปในเบื้องบรรพ์ .. ในสัญญา ! O ภาพ-แพรขาวบางนุ่ม .. ห่มคลุมไหล่ กลีบดอกไม้แซมผม .. งามสมหน้า กับ-เสื้อขาว .. กระโปรงดำ .. เห็นตำตา- ก็เหมือนว่า .. ทับทาบเป็นภาพเดียว ! .. พศ.๒๔๒๗ .. O ภาพ-แพรขาวบางนุ่ม .. ห่มคลุมไหล่, พร้อมกับนัยน์ตาคอย .. ชม้อยเหลียว- อยู่เบื้องหน้า .. เพรียกภิรมย์ – เข้ากลมเกลียว- ด้วยร่างเรียวรูปพิไล .. ผู้ใยดี O จาก-สบ .. เมิน .. เขิน .. หลบ .. แล้วสบอีก- เกินสายตาจะอาจปลีก .. หลบหลีกหนี รอบแรงชู้ราวร่ำรอ .. เข้าต่อตี- ด้วยใจที่ขวยเขินสะเทิ้นอาย O หลัง-เพรงวาสน์พาดช่วง, ในดวงตา- หวานยิ่งกว่า-ทุกดวงก็ช่วงฉาย ความอ่อนโยนเอ็นดู .. เกินรู้คลาย- เผยผ่านแววตาชาย .. จนหมายรู้ ! O จึงทุกยามตรู่เช้า .. ทุกเช้านั่น- มีดวงขวัญ .. ขันข้าว .. รอก้าวสู่ พร้อมหัวใจละห้อยเห็น-ความเอ็นดู- จากตาวาบวามอยู่ .. ตาคู่นั้น ! O ในห้วงคิดตื่นอยู่ .. ย่อมรู้ว่า- แววในตาวาบ-วก .. ทำอกสั่น คือ-แววตาคู่ไหน .. คือ-ใครกัน- ที่ทุกหันหน้าสบ .. เกิน-หลบพ้น O มาตักบาตรทำบุญ .. หวัง-หนุนชาติ พาทุกข์คลาดแคล้วช่วง .. ตราบร่วงป่น กลับบรรจบหอมหวานเอ่อซ่านปรน- เปรอ .. ใจคน .. ละห้อยเห็นไม่เว้นวาง O จึง-ทุกเช้ารูปนาม .. ที่งามพร้อม- คล้ายดักล้อมรอสู่ .. ของตรู่สาง เพื่อล่มลาญเปล่าเปลี่ยวในเที่ยวทาง ไล่ความอ้างว้างเหงา .. ผ่านเช้าวัน O จน-เช้าหนึ่งรูปนาม .. ที่งามพร้อม เคยดักรอรายล้อมเข้ากล่อมขวัญ กลับบำราศรูปนามเคยล่ามพัน ดอกไม้, ขันข้าวหอม ก็ย่อมเลือน O คล้ายไม่เคยมีใคร .. อยู่ในที่- รูป.. บาตร..ลีลาศรับ .. ขยับเขยื้อน หากถิ่นที่แถวทาง .. การย่างเยือน- ยังคงเหมือนบริบทเคยจดตา ! O วันแล้วและวันเล่า .. ไร้เงาร่าง เหมือนยอโลกเปลี่ยวร้าง .. ลงขวางหน้า ช่วงยามความเขินอาย .. ลอบชายตา- ก็เหมือนว่าบำราศจนสิ้นรอย ! O เริ่มต้นการเฝ้าคอย .. ละห้อยหา- ที่เหมือนว่าเพรียกโลก-ร่วมโศกสร้อย- ให้เริ่มร่วมเริงขบวน .. คร่ำครวญคอย จากเพียงน้อย-ค่อยถมจนเต็มทรวง O ตราบแว่วยิน .. ข้อข่าวคนกล่างถึง- ว่า-รูปนามรูปหนึ่ง .. เหมือนหนึ่งล่วง- ลับหายไปจากเรือน .. เมื่อเดือนดวง- เลื่อนรูปรอยสิ้นช่วง .. ดับล่วงไป . . หัวข้อ: Re: O หอมกลิ่นร่ำ .. O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 10 มีนาคม 2014, 01:42:PM .. พศ.๒๕๓๗ ..
O น้ำค้างรุ่งเหน็บหนาว..พร่างพราวรับ- แสงเช้าทอดจู่จับ..จนวับไหว ผืนพลอยเพชร-เม็ดน้ำ..คล้าย-ร่ำไร รอแสงไล้โลมต้อง..เพื่อ-ล่องลอย O รวยรวยรสมาศไม้ที่ในสวน กลิ่นหอมอวลอบเร้าความเหงาหงอย รื่นรสกุสุมเช้า..เหมือนเฝ้าคอย- บางรูปรอย..ผู้ถวิลแต่กลิ่นมาลย์ O คำนึงด้วยเจตจินต์..ที่ยินยอม- การกักกุมรุมล้อมด้วยหอมหวาน ที่ทั้งใจไหวสั่นแต่วันวาน เมื่อใครผ่านความหมายขึ้นว่าย-วน O งามจริตรูปละม่อมพรั่งพร้อมค่า เปรียบช่อชั้นพวงผกา..แห่งป่าฝน ที่เสียดยอดพลอดยามให้ตามยล ถึงดิ้นรนด้วยใจ..พลอยไขว่คว้า O นับการก้าวยกย่าง..บนทางฝัน ช่างเต็มเปี่ยมมุ่งมั่น..การฟันฝ่า- อุปสรรคทั้งปวง..ให้ร่วงคา- อยู่ใต้ฝ่าเท้าย่ำ..ที่ดำเนิน O นับสิบร้อยพันหมื่นการตื่นหลับ คือลำดับรอยอุทธัจ..ความขัดเขิน- ค่อยค่อยโหมหวนระลอกเข้าหยอกเอิน ด้วยท่าทีที่สะเทิ้นด้วยเมิน-เมียง O ละเมียดรส..ผกากรองละล่องกลิ่น หอมตรึงจินตนาการนั้น-ปานเสียง- กระซิบแผ่วผ่านถ้อยมาร้อยเรียง- ความซาบซึ้งให้ประเดียงประดังใจ O กลีบเรียวบางดอกดวง..บ้างร่วงหล่น อยู่กับอกอึงอล..ลมวนไหว ละครั้งที่งดงามของความนัย ผ่านโลมไล้ลูบอก..พาวกย้อน O หยาดน้ำค้างเคยเห็น..ก็เร้นหาย ยังแต่สายสวาดิผู้สุดรู้ผ่อน ในคำนึงเงียบเหงา..เหมือนเว้าวอน- ความออดอ้อนแอบอำอยู่ค่ำเช้า O รูปะภพอบร่ำในคำนึง นั้น-เพียงหนึ่งอาลัย..คอยใฝ่เฝ้า ผ่านเผยรูปรอยยิ้ม..อันพริ้มเพรา ก็เพียงเงาเยาวรูป..โลมลูบทรวง O นับแต่วันเดือนปีเท่าที่เห็น ก็ยากเร้นงดงามที่ลามล่วง ราวอดีตคำสาป..บุญบาปปวง- ผ่านฤทธิ์หน่วงเหนี่ยวให้..อาลัยรอ O ถ้วนปวงความอ่อนโยนและอ่อนหวาน ต่างฤๅเมื่อดอกมาลย์..เบ่งบานช่อ- ยังลามล่วงรุมเร้าพะเน้าพะนอ เช่นรูปเงาแอบออ..ร่ำรอทรวง O ถ้วนสิ้นความอ่อนโยนและอ่อนหวาน จึงเปลี่ยนผ่านแปรให้..อาลัย-หวง- แหนนั้น-เข้าห้อมห่มอารมณ์ปวง แทรกความห่วงใยล้ำ..อยู่ค่ำเช้า O น้ำค้างเร้นหยาดหยด..ไปหมดแล้ว ลมโผยแผ่วลอดเลี้ยวความเปลี่ยวเปล่า ประหนึ่งเพชร-แสงปลาบ..นั้นวาบเงา เมื่อรูปเยาว์..หล่นคว้าง..ลงกลางใจ ! O อบอุ่นแล้วอีกคราว..เมื่อหนาวพ้น ที่เหน็บหนาวเสียจน..ยากทนไหว ยังดี-ที่ในทรวงมีห่วงใย- คอยอุ่นไล้โลมสิ้น..จิตวิญญาณ O อบอุ่นแล้วอีกคราว..เมื่อหนาวสิ้น ด้วยลมรินเอื่อยอ่อย-ที่คล้อยผ่าน ยอดหญ้าค้อมเรียวลู่-รับรู้กาล กุสุมาดอกมาลย์ก็บานรับ O ขณะวันสาดส่อง..ฟ้าผ่องแผ้ว คือยามแววลึกล้ำ..เนตรดำขลับ- ค่อยเหลือบชายให้ทราบ..ความวาบวับ- ที่โหมลงจู่จับ..ลำดับนั้น O จู่จับห้วงจิตใจ..เกินไหว-เบี่ยง ด้วยชั่วเพียงสบรูป..แล้ว-วูบสั่น จนสบแววอ่อนหวาน..ก็ปานทัณฑ์- ผูกล่ามขวัญเอาไว้อยู่ในมือ O แววเนตรไหว-วนวิ่ง, ยากยิ่งแล้ว- จักฝ่าความผ่องแผ้ว..จนแล้ว..หรือ ? สบรูปแล้ววิญญาณ..จักผ่าน ฤๅ ? เหลือแต่คือ-ยื้อยุดไว้..สุดตัว ! . . หัวข้อ: Re: O หอมกลิ่นร่ำ .. O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 10 มีนาคม 2014, 07:53:PM .. บ้านริมน้ำ ปลายถนนสาทร ..
O บ้านสาทรริมน้ำ .. ลมร่ำผ่าน- โลมกิ่งก้านไม้ใบจนไหวทั่ว ระลอกคลื่น .. ลมโยน-ก็โจนตัว- กระฉอกยั่ว .. ดอกแดดที่แวดล้อม O แวะมาร่วมปราศรัย .. เพื่อไต่ถาม- ถึงรูปนามล่วงลับ .. ไว้ขับกล่อม- จิตวิญญาณดื่มด่ำที่จำยอม- อยู่ให้อ้อมโอบงาม .. ผูกล่ามไว้ ! O แดดสายทอระยับ .. น้ำวับวาม- ล้อเรื่องราว .. ถ้อยความ .. การถามไถ่ ความเอ็นดูจับจูงผู้สูงวัย- ค่อยเล่าไขแจงเรื่อง .. แต่เบื้องบรรพ์ O จนแว่วเสียงเรียกป้า .. เข้ามาใกล้ เมื่ออีกหนึ่งอกใจ .. จมในฝัน แว่วเหมือนคนสองวัย .. รับไหว้กัน ต่อจากนั้น .. รูปลออ ก็ล้อตา ! O เสื้อขาว .. กระโปรงดำ .. ตาดำขลับ- คล้าย .. วามรับ-พิสวงที่ตรงหน้า ก่อน-มือเรียวรูปนั้น .. ยกวันทา- ปริศนาในทรวงก็ช่วงโชน ! O ชั่วเพียง-งามเพียบพร้อม .. เข้าล้อมกัก ความไว้ตัวถือศักดิ์ .. ก็หักโค่น พร้อม-ตาลอบเหลือบชม้าย .. ก็ถ่ายโอน- ความอ่อนโยนตอบแล้ว .. ถ้วนแววตา O ดวงตาเอย .. พริ้มพรับให้นับเนื่อง- แทน-งดงามเรื่อเรื้อง .. ให้เบื้องหน้า- สืบต่อภาพรูปพรรณในสัญญา ที่ค้ำคาคงอยู่แต่ผู้เดียว ! O เกิดแต่เมื่อ .. พิศเพ่งผ่านเพรงยาม สบรูปนามผุดผ่อง .. ให้มองเหลียว สายใย-ราวสอดเส้น .. ม้วนเป็นเกลียว- โอบรั้ง .. เหนี่ยว-ล่ามสิ้น .. จิตวิญญาณ O เป็นญาติผู้น้องเพื่อน .. ที่เหมือนว่า- ทั้งแววตาทั้งรูป .. คอยวูบผ่าน- ให้รับรู้ .. รับรอง .. การพ้องพาน ของรูปคราญ-แววตา .. อีกคราครั้ง O ขณะแรงเสน่หา .. แทรกอารมณ์ คือชั่วยามริ้วลม .. ค่อยถมถั่ง- โลมน้ำ .. โตนเป็นคลื่น .. จนตื่น-ดัง พร้อม-แก้มปลั่งเผยยั่ว .. ตา-หัวใจ ! O แต่เมื่อเดินผ่านมาให้ตาเห็น ก็บีบเค้นอารมณ์เกินข่มไหว โลกตรงหน้าพลิกผันขึ้นทันใด เมื่อรูปคราญสดใส..ล้อมนัยน์ตา O หรือหัตถ์พรหมลอบเร้น..บีบเส้นทาง ให้ยกย่างเหยียดก้าวมุ่งเข้าหา แล้วรอการสัมผัส..รูป-ทัศนา ก่อคุณค่าจับวางลงกลางใจ O แต่บัดนั้น..รุ้งเรื้องที่เบื้องหน้า- ก็เหมือนว่าทอดโค้งยึดโยงให้- แววขัดเขินอ่อนหวานที่ด้านใน- อกทรวงใคร..ล้อผกายกับสายตา O ยิ้มรับความสดใสแห่งวัยเยาว์ เช่นยามเช้าสุมาลย์ช้อยช่อคอยท่า- ภุมรินผึ้งภู่..ย่อมรู้มา- ตฤปรสผาณิตหอม..อย่างยอมตน O ยิ้มรับความอ่อนไหว..ของใครนั้น กับแวววามไหวสั่นนับพันหน เอ็นดูความขัดเขินหยอกเอินคน- ผู้เอ่อล้นหวานแล้ว .. ถ้วนแววตา ! O เหมือนว่างามลามรุกไปทุกบท ชี้..กำหนด..รูปรอยให้คอยหา และเหมือนงามลามรุกไปทุกครา- กับท่วงท่าเหลือบค้อน .. แววซ่อนยิ้ม O หวังเช่นหวังกุสุมาลย์ .. โน้มก้านค้อม- ให้ภู่ล้อมเสพอยู่ .. ไม่รู้อิ่ม ดูเถิดรูปรมยา .. เปลือกตาพริ้ม- ดั่งรอพิมพ์พักตร์ละม่อม .. รายล้อมใจ O เหมือนว่าเนตรเหลือบค้อน, อย่างซ่อนเร้น- คอยตอบเต้นเวียนวก .. ทำอกไหว- จนอบอุ่นวาบหวาม .. กับความนัย- ที่เผยให้ผ่านต้องด้วยสองตา O รู้ .. รับทราบรูปภพ .. บรรจบผ่าน- ความอบอุ่นอ่อนหวานที่ปานว่า- กี่รอบกาลหวานซึ้งเคยตรึงตรา เหมือนสิ้นไร้คุณค่า .. ชั่วนาที O สบชม้อยชม้ายเมียง .. หรือเพียงว่า- หมายหยอกยั่วเสน่หา .. ทำหน้าที่ จึง-เงื่อนงำแววตา .. เหมือนว่ามี- แววไมตรีสื่อตอบ .. รับมอบกัน O จะแปลความเยี่ยงไรก็ไม่พ้น- ไปจากแววหวานล้น .. วก-วนนั่น แก้มอิ่มเนียนเพ่งผ่านก็ปานทัณฑ์- รอบีบคั้นบีบเค้น .. ไม่เว้นยาม O ชั่วเพียงเผลอพิศมองครรลองรูป จึงเหมือนต้องจบจูบ .. จนวูบหวาม- จากอาวรณ์อาลัยที่ไหลลาม- เกินหักห้ามรอบชู้ .. ให้รู้รอ O หรือนี่เป็นปรารมภ์ .. ท้าวพรหมท่าน ดลรูปการณ์ .. รับรอง .. คำร้องขอ ? จึงฝากงามรุมเร้าพะเน้าพะนอ- ยั่ว-หยอกล้อ .. อกใจ .. คอยไขว่คว้า O หรือนี่เป็นรสประณีต .. ท่านกรีดผ่าน- ด้วยคมมีดอ่อนหวานที่หวานกว่า- ถ้วนรสซึ้งรอยหวาน .. เคยผ่านมา เติมคุณค่าหอมหวานแผ้วผ่านใจ O หรือ-อบอุ่นอ่อนหวานที่ด้านหน้า คือบัญชาท้าวพรหม .. ช่วยข่มให้- ความว้าเหว่ในทรวง .. เลือนล่วงไป ด้วยแววตาวูบไหว .. ของใครนั้น ? O ราวทิพโลกชะลอลงที่ตรงหน้า เมื่อแววหวานในตา .. คล้าย-พร่า .. สั่น เผลอเผยความหวานหอม .. ออกล้อมกัน- ถ้วนรอบฉันทารส .. รินรดใจ O โอ งามหรือจะตามมาล่ามทัณฑ์- ผูกรัดความมุ่งมั่น .. แนบฝันใฝ่ โอ นั่นเหมือนรูปลักษณ์ .. วงพักตร์ใคร- แทรกรูปไว้ให้คะนึงทุกกึ่งยาม O ท่ามกลางเสียงหลากหลายที่รายรอบ แว่ว-เหมือนหัวใจตอบ .. เสียงสอบถาม- จากอีกใจเร้ารุก .. เข้าคุกคาม ว่า-สุดแรงพยายาม .. ข่มห้ามแล้ว O โอบรับนัยแห่งชู้ .. รับรู้ผ่าน- ความอ่อนหวานซึ้งห่ม .. สายลมแผ่ว- แต่เมื่อเลศนัยคราญ .. เผลอผ่านแวว- ความผ่องแผ้วโชนผกาย .. ตอบสายตา O งดงามรูป .. สัมพันธ์ในวันผ่าน กับหนึ่งความทรมาน .. คอยผลาญพร่า ใครกันหนอ .. นับยามถูกล่ามคา- ด้วยโซ่ตรวนเสน่หา .. แต่ครานั้น ? O กระโปรงดำ .. เสื้อขาว .. เนตรวาววับ- ที่ทุกพรับพริ้มรูป .. แล้ววูบสั่น- ที่หัวใจชายผู้ .. สุดรู้กัน ก็ค่อยผันรูปลับ .. ไปกับตา O ชั่วรับรอง .. อัญชลิต .. โสภิตผู้- แก้มเนียนก่ำเรื่ออยู่ .. ก็รู้ว่า- รื่นจากลมลูบไล้ .. หรือนัยน์ตา- ที่ยามลา .. ตอบเต้น .. บีบเค้นใจ O แม่ของเพื่อน-มองหน้า .. ปากตานั้น- เหมือนรับรู้ .. เท่าทัน .. ความสั่นไหว- ของอารมณ์เร้นซ่อนดั่งฟอนไฟ- สุมทรวงให้ครวญคร่ำ .. แต่คำนึง . . หัวข้อ: Re: O หอมกลิ่นร่ำ .. O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 10 มีนาคม 2014, 08:03:PM มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
O ใต้ร่มไม้ .. สถาบันการศึกษา มีแววตาเหม่อลอย .. ละห้อยถึง- การพบพาน .. สบตา จนตราตรึง- พร้อมอ่อนหวานซ่านซึ้ง .. ติดตรึงใจ O ดังช่อมาลย์ช้อยกลีบขึ้นบีบกลิ่น- หอมรวยรินให้รู้ .. ว่าอยู่ไหน ท่ามกลางช่อขาบเขียวแห่งเรียวใบ เหมือนซ่อนงามสดใส .. อยู่ในวัน O หากมิใช่กลีบกุสุม .. เร้ารุมกลิ่น เพียงเจตจินต์สืบสร้างเป็นร่างฝัน ในคาบยามชาติภพบรรจบกัน ก็โอบขวัญดื่มด่ำ .. ในคำนึง O แผ่วลมพลิ้วผ่านระลอก .. ยั่วหยอกไม้ เมื่อห้วงจิตดวงใจ .. เฝ้าใฝ่ถึง- แววอบอุ่นในตา ยังตราตรึง เหมือนแทรกซึ้งหวานสู่ .. ให้ผู้เดียว O วาบหวามแล้วไหววูบ .. จิตรูปเยาว์ แต่ยามเช้า .. พบพ้อง .. แล้วข้องเกี่ยว ใช่สุมาลย์กิ่งทอด .. ช้อยยอดเรียว แต่เป็นเสี้ยวใจขวัญ .. คล้าย-มั่นคอย O วาดหวังนั้นจำเริญ .. จนเขินอาย หวัง-ใจชายคิดคืบ .. เข้าสืบสอย เพื่อดอกมาลย์จะอวลกลิ่นไม่สิ้นรอย หอมจะลอยล่องลมเข้าบ่มทรวง O ปากแก้มเหมือนซ่อนยิ้ม .. เนตรพริ้มพรับ- ย้อนภาพการจ้องจับ .. ให้กลับช่วง แล้วทั้งหวานทั้งหอม .. กว่าหอมปวง- ก็ลามล่วงยั่วเย้า .. ให้เฝ้ารอ O ใต้ร่มพฤกษา .. มหาวิทยาลัย มีหัวใจทาบทวง .. บำบวงขอ- พรเทวัญชั้นฟ้าให้มาออ- แอบความหมายฉายทอ .. โลมล้อใคร O จะรู้กันบ้างไหม .. นะใจนั้น ว่า-สร้างความผูกพัน .. ความหวั่นไหว- เข้าแนบน้อมโลมทั่วทั้งหัวใจ เมื่อแววตาช่วงนัย .. ว่า-ใยดี ? .. คอนโดมิเนียมกลางกรุง .. O ปฏิพัทธ์แห่งชายเมื่อบ่ายโบก ผ่านลมโลกแล่นระลอกยั่วหยอกศรี จะเปรียบหวานละลานค่าด้วยมาลี เหมือนหลู่ค่าราศีให้มีรอย O ด้วยว่าหอมหวานมวลแห่งมาลี จะต้องเกณฑ์ราคี .. บัดพลีถ้อย ถ้วนคันธารสพะยอม .. แม้-น้อมคอย ฤๅเปรียบหอมละม่อมน้อย .. รูปรอยเดียว ? O รอเถิด .. รูปแพงน้อย .. รอคอยรับ- การปรุงศัพท์ปรับพากย์ .. อันกรากเชี่ยว- ด้วยอาวรณ์รำบาย .. เพื่อคลายเกลียว- รัดทุกเสี้ยวใจขวัญ .. หมาย-พันธนา ! O รอเถิด.. รูปแพงเจ้า .. จงเฝ้าคอย เพื่อแววตาปริบปรอย .. ละห้อยหา- ได้ผ่านเผยภาพประทับ .. ไว้กับตา ร่วมรับรู้ปรารถนา .. ในอารมณ์ O รอเถิดรูปแพงเจ้า .. จง-เจ้ารู้ เมื่อแรงชู้หลอมหลั่งเข้าสั่งสม ก็ด้วยการ-ชี้ชัดจากหัตถ์พรหม- ผูกเป็นปมเงื่อนตาย .. สุดคลายคลอน ! O เหมือน-หยุดยืนเคว้งคว้างในทางน้อย ท่ามกลางหมอกล่องลอยดั่งคอยอ้อน ทางทอดรอ .. มุ่งหมาย .. สู่ปลายจร รอก้าวย่างแรมรอน .. อย่างท้าทาย O ไร้ดื่นดาวแสงระยิบจากลิบโพ้น เพียงแสงวันอ่อนโยนเริ่มโชนฉาย ลมเช้าโชยพรมพรำ .. ช่วยรำบาย- ความมืดหม่นให้สลายคลี่คลายตัว O หล่นร่วงรูปใบบางในทางเที่ยว ความเปล่าเปลี่ยวเย็นเยือกก็เกลือกกลั้ว ลมโชยผ่านใบนั้น .. ย่อมสั่นรัว- จนหลุดขั้วร่วงคว้างลงกลางแดน O ลมแผ่วผ่านโลมลูบ .. ใบวูบหล่น ให้แดดบนฟ้าห้อมดุจอ้อมแขน เพื่อหน่ออ่อนเขียวสด .. งอกทดแทน- ความขาดแคลนชุ่มชื้น .. บนพื้นดิน O เจ้า-ดั่งลมหนาวร่ำพรมพรำโลก มาลบโศกถ้วนสรรพให้ดับสิ้น เพื่อเห่กล่อมปถวี .. ปวงชีวิน- และยอดตฤณที่ใต้ร่มใบบัง O เห่เสียงกล่อมเหนื่อยล้าให้ลาลับ แลร่วมขับขานถ้อยให้คอยหวัง วาดวีบทวังเวงเป็นเพลงดัง ต่อกำลังก้าวย่างสู่ทางจร O โบกบ่ายความสดชื่นความรื่นรมย์ ผ่านสายลมพลอดพร่ำ .. แทนคำอ้อน เผย"ความนัย"อ่อนเจ้า .. ช่างเว้าวอน- ทั้งแสนอ่อนโยนเหลือทุกเนื้อความ O วัลย์เลื้อยเถารัดล้อมราวอ้อมกอด- สองแขนสอดรัดทรวง .. ว่าหวงห้าม ลมแผ่วพลิ้วโลมลูบ, หวัง-รูปงาม- จักวาบหวามในอก .. สะทกสะท้อน O ลมแรกเช้าเฉื่อยโชย .. ค่อยโรยล้อม- ดอกแก้วบานพรั่งพร้อมกลิ่นหอมอ่อน ใบไม้ร่วงพลิ้ววางในต่างตอน เมื่อทางจรทอดยาว .. รอก้าวไป O โอ..นั่นรูปเรียวก้อยเจ้าคอยยื่น- มาร่วมขืนขัดร้อยเกี่ยวก้อยให้- ความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง .. ต้องร้างไกล เหลือสดใสทอดช่วง .. ที่ดวงตา O ยิ้มรับสายลมอ่อน, ความอ่อนโยน- ก็ถ่ายโอนรุมล้อมอยู่พร้อมหน้า เจ้าเอยที่ตรึงมั่นในสัญญา รู้เถิดว่าเกินถอน .. แล้วอ่อนน้อย O ลมผ่านวูบ .. ใบบางก็คว้างหล่น ทิ้งรูปกล่นเกลื่อนแล้วอย่างแผ่วค่อย เห็นเพียงความกรอบเกรียม ..นั้นเปี่ยมรอย ที่จักคล้อยเคลื่อนลับ .. ไปกับกาล O เห็นรูปเรียวเสียดยอดขึ้นพลอดแสง แทรกทิ่มแทงโลกธาตุอย่างอาจหาญ ใจที่คอยพิศเพ่งก็เบ่งบาน- บนรูปคราญอ่อนน้อย .. ทุกรอยใจ O ริ้วแห่งลมโลมภู่ให้รู้หอม จนรายล้อมรู้หวานทุกหวานได้ แววอ่อนหวานวาบสู่ .. ถึงผู้ใด จึงสั่นไหวทุกหอมเคยหอมล้ำ O ก้อยเรียวพร้อมแววประหวั่นเจ้า ย่อมรุมเร้าใจเต้นไม่เป็นส่ำ ร่วมเกี่ยวร้อยก้อยเรียวร่วมเหนี่ยวกรรม ให้โลกร่ำลือนาม .. เช่นยามเพรง O ที่เคยหยุดเคว้งคว้างในทางน้อย กลับมีก้อยเกี่ยวฉุดให้รุดเร่ง เคยอ่อนล้าสิ้นหวัง .. กลางวังเวง กลับมีเพ่งพิศอยู่ .. คอยคู่เคียง O แดดเช้า .. ลมชื่น .. ใจตื่นช่วง แว่วยินท่วงทำนองพร่ำพร้องเสียง จากแมกไม้พุ่มกอ หรือพอเพียง- แทนสำเนียงอาวรณ์ถึงอ่อนน้อย O ลมผ่านสายใบบางยังคว้างร่วง ผ่านทุกช่วงยามโลกอย่างโศกสร้อย ก้อยยังเกี่ยวก้อยย่ำ .. ซ้ำซ้ำรอย ใดจะลอยหลุดร่วงไม่ห่วงเลย O ลมเห่กล่อม, ดอกแดดทอแวดล้อม คืออุ่นอ้อมแขน-อ้อนเถิด .. อ่อนเอ๋ย โลมดอกแดดอบอุ่นให้คุ้นเคย- ก่อนชิดเชยอกอุ่น .. ที่หมุนรอ ! . . หัวข้อ: Re: O หอมกลิ่นร่ำ .. O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 11 มีนาคม 2014, 06:15:AM .. บ้านริมน้ำ ปลายถนนสาทร ..
O แวะเวียนมาหาเพื่อน .. หวัง-เหมือนว่า- บางรูปหน้าจะปรากฎ .. จน-จดจ่อ บริบทงามเงียบ .. ก็เงียบพอ- ให้รูปเงาเคล้าคลอ .. ล้อม-ทรมาน ! O นั่งคุยอยู่กับเพื่อนที่ท่าน้ำ หาก-ความ, คำ .. ล้วนปล่อยให้ลอยผ่าน ภาพในความคิดนั้น .. ภาพวันวาน- ที่โลกหมุนหอมหวานเวียนผ่านมา O แต่เมื่อภาพวันวาน .. ค่อยผ่านสู่ สบ, เอ็นดู-รูปละม่อม .. ก็พร้อมหน้า มือเรียวรูปคู่นั้น .. กบ-วันทา ละห้อยหา .. ละห้อยเห็น .. ฤๅ-เว้นวาย ? O ยิ้มรับความสดใสแห่งวัยเยาว์ ที่รุมเร้าใจอยู่ไม่รู้หาย ขณะรื่นล้อมห่มอารมณ์ชาย กับแววฉายผ่านตา .. เพ-ลานั้น O เป็นเช้า ที่เคลื่อนผ่านแสนนานช้า ด้วยแววตาบ่ายโบกโลมโลกฝัน เม็ดน้ำค้างหยาดเงา .. บนเถาวัลย์ ฤๅ-เท่าขวัญหยาดช่วง-บนดวงใจ ? O วูบ-วาบระทึกดวง .. เมื่อดวงตา- สบเลศกาละนั้น .. ก็พลันไหว- สั่นแกว่งตัว .. ปัดป่ายอยู่ภายใน รุมร้อนหนอกระไร-หัวใจคน O ไร้ดาว .. ดาดดื่นบนผืนฟ้า ดาวตรงหน้ากลับช่วง .. ราวห้วงหน- รู้เหนี่ยวรั้งปลั่งเรื้องจากเบื้องบน ลงปลาบปนปริศนากอปรท่าที O แทนหมอก-ยามอรุณ, แดดอุ่นร้อน ดูเถิด-ช้อนตาสบไม่หลบหนี ชะม้ายลอบเหลือบบ้างเป็นบางที วันเคลื่อน, ฟ้าเปลี่ยนสี-นาทีนั้น O เช้านั้น-หมายอาจเอื้อม .. หยิบเหลื่อมรุ้ง- จากขอบคุ้งโค้งฟ้า .. เพื่อ-พาฝัน- ล่องลอยกับระลอกของหมอกควัน และพุ่มพรรณโกสุม .. ปีกภุมริน O แววตาอ่อนโยน .. ก็โชนแสง สบ-ทิ่มแทงใจอยู่ไม่รู้สิ้น หมอกขาว, มาลย์, ลมโชย, ภู่โบยบิน คน-เดือดดิ้นอกใจ .. กับไขว่คว้า O แววอ่อนโยนแฝงตอน .. รอยซ่อนยิ้ม เปลือกตาพริ้มหลบล้อม .. ละม่อมหน้า ล่มแสงวันลับเลย .. เมื่อเงยมา แวววับวาวในตา .. ก็ตราตรึง O จวบแว่วเสียงฝีเท้า .. ย่างเข้ามา หอมกลิ่นร่ำลมพา .. ผ่านมาถึง ก็รู้ว่า .. รูปธรรมในคำนึง- แทรกหวานซึ้งดักล้อมอยู่พร้อมแล้ว O รูปการณ์ก็จับจูงผู้สูงวัย- มาทันได้ยินเสียง .. ตอบเพียงแผ่ว ทันเห็น-ตาหญิงชาย .. นั้นฉายแวว- ความผ่องแผ้วส่งรับอยู่วับวาม O เอ่ยชวนไปทำบุญ, เกื้อหนุนธรรม จน-ตกลงรับคำ .. ที่ย้ำถาม ขณะโลกเปลี่ยวเปล่า .. เริ่มเฉาตาม- หัวใจที่วาบหวาม .. ที่ตามล้อ O ดูเอาเถิด .. สาวน้อยตาคอยหลบ เมื่อชาติภพเบิกบท .. ให้จดจ่อ ขัดขืนฤๅ-นามธรรมที่ร่ำรอ- คอยแอบออยั่วเย้า .. ค่ำเช้าเย็น ? O รื่นรมย์เหลือกระไรจะได้เที่ยว และเมื่อเหลียวเหลือบมอง .. ก็มองเห็น- แววตาจ้องพักตร์ละม่อม .. เพียบพร้อมเอ็น- ดู .. คล้ายเต้นคุกคามอย่างย่ามใจ O ดูเอาเถิด .. สาวน้อยตาคอยหลบ หากทุกเมินเมียงสบ .. ฤๅ-หลบไหว ? เมื่อทุกเมินเมียงสบ .. ชาติภพใคร- ตั้งภาวะอาลัย .. เอาไว้รอ O แก้มเนียนเนื้อเปล่งปลั่งอยู่ยังหน้า และแววตาเหลือบชม้อย .. ดั่งคอยล่อ- อารมณ์ชาย .. รุมเร้าพะเน้าพะนอ- เพื่อจดจ่อ .. แต่งามทุกยามไป O เอ็นดูหลานวัยเยาว์ .. ป้าเฝ้าพิศ เห็น-แก้มเรื่อ .. ความคิด-ฤๅปิดได้ อีกแววตานั้นเล่า – ยิ่งเข้าใจ- ช่างเผยความสดใส .. โดยไม่บัง ! O หากดวงตาอีกคู่ .. ยากดูออก เหมือนบ่งบอกบางเรื่อง .. อยู่เบื้องหลัง ที่ดูคล้ายเหม่อลอย .. เหมือนคอยฟัง- เสียงแว่วดัง .. ร่ำล้อให้ทรมาน .. แต่เพรงกาล .. O แว่วยินไหม .. รำพันดวงขวัญเอ๋ย ฝากให้ .. ลมรำเพยรำพึงผ่าน ว่า .. ค่ำนี้แสงดาวคงร้าวราน จาก .. ความหวานโชนช่วงในดวงตา O จันทร์เอย .. เลื่อนขึ้นฟ้า .. ช้าช้าก่อน ให้ความวอนเว้าปวง, แรงห่วงหา- ได้ทอดเสียงกระซิบความ .. ส่งข้ามมา- กล่อมหัวใจปรารถนา .. ผ่านราตรี O ชะลอการเลื่อนดวงขึ้นสรวงฟ้า เพื่อรอแสงในตารูปราศี- ทอดทอแววสวาทสู่ .. ให้รู้ที- รู้ท่า .. ความใยดี - ผู้มีใจ O เห็นไหม .. แสงอ่อนโยนแต่โพ้นภพ ทอดฝ่าพลบ .. ฝ่าฝัน .. ถึงกันได้ ฝัน .. ที่รอคาบช่วงแห่งดวงไฟ- เชื่อมอาลัยผูกพัน .. ลงสัญญา O หนึ่งหัวใจทะยานสู่ความรู้สึก ดำดิ่งลึกลอดบ่วงความห่วงหา เชื่อมอาวรณ์ช่วงฉายผ่านสายตา ล่มทุกแสงจันทราจนล้าเลือน O จันทร์เอย .. จันทร์เจ้า .. ช่วยเว้าวอน- ความออดอ้อนรำบายลงป่ายเปื้อน- ดวงใจผู้ห่วงละห้อย .. เพื่อคอยเตือน- ให้ .. ถวิลทุกเขยื้อนขยับใจ O ดู .. ธารดาวทอ-ดวงบนสรวงสวรรค์ แทนดวงตาทอฝัน .. ที่สั่นไหว- ด้วยรูปรอยเจ้านั้น .. เช่นจันทร์ไกล- แต้มรูปต่ายลงไว้ .. ที่ในดวง O ช่างเนิ่นนานหนักหนา .. แต่ครานั้น ก่อนรูปฉันทาชาติจะขาดช่วง นับภาพซึ่งสุมใส่อยู่ในทรวง ล้วน – รูปพวงดวงพักตร์จำหลักพร้อม O ค่อยเบือนเหลียวสบลักษณ์ .. รูปพักตร์ล้ำ มือกุมกำเรียวก้อย .. เอ่ยถ้อยกล่อม หยาดน้ำตาร่วงตก .. ห้วงอกตรอม- ก็แวดล้อมกาลลาด้วยอาลัย O ฝ่าลานทุ่งรุ้งทองลอยล่องถึง ธารดาวซึ่งทอส่องความผ่องใส รอบวงกัปหมุนกาล .. ตราบนานไกล- จนบรรจบรูปใจ .. เช่นในจันทร์ O ยังเป็นจันทร์ดวงเดิมที่เริ่มฉาย- แสงลงป่ายเปื้อนโลก .. เมื่อโศกศัลย์, - เสียงคร่ำครวญ-ล่มลาญแต่นานวัน หลังรูปขวัญเผยกายต่อสายตา O ยิ่งต่ายแต้มในจันทร์ .. เจ้าขวัญน้อย เมื่อผ่านเผยรูปรอยมาคอยท่า ก็สอดรับรูปฝันในสัญญา เสน่หาในอก .. ฤๅยกพ้น ? O ลมเยียบเย็นโรยฝ่าขอบฟ้ากว้าง ในท่ามกลาง ดาวช่วงที่ร่วงหล่น แรงอาวรณ์เวียนวก .. ในอกคน- ก็เวียนจนอ่อนแรง .. แล้วแพงน้อย ! O ป่านฉะนี้ร่างนั้นในบรรจถรณ์ จะรุ่มร้อนเย็นเยียบหรือเงียบหงอย หรือมองดาวไกลลิบตาปริบปรอย หรือละห้อยห่วงหา .. ทั้งราตรี ? O จน-นกค่ำส่งเสียงจำเรียงร้อง แสงจันทร์ส่องฉาบฟ้า .. อวดราศี ก็รับรู้อาลัยความใยดี- ผ่านลมวีวาดสายรำบายความ O แสงพรายประกายพรึกอันลึกลับ ก็ค่อยพรับพรายดวง .. คล้ายหวงห้าม- แรงอาวรณ์อาลัยพึงไหลลาม- ล้อมรูปทรามสวาดิชู้แต่ผู้เดียว O มวลเมฆดำมืดมนเคยหม่นเศร้า และเวิ้งฟ้าเงียบเหงาเคยเปล่าเปลี่ยว กลับเลื่อนรูปจนเห็น .. คล้ายเส้นเกลียว- ของสายใยพันเหนี่ยว .. รูปเรียวนั้น O แล้วค่ำก็ถูกกลืนด้วยคลื่นดาว จนห้วงหาวไกลลิบกระพริบสั่น แล้วลมก็ร้องร่ำเสียงรำพัน- เพื่อโอบขวัญอบร่ำ .. ด้วยคำชาย O เบื้องไกลพู้นเวิ้งว้าง .. ที่กลางหาว กลาดเกลื่อนดาวลอยดวงขึ้นช่วงฉาย หลากสีสันท่ามกลางแสงพร่างพราย ก็เพียงหมายแสงช่วง .. ของดวงเดียว ! . . หัวข้อ: Re: O หอมกลิ่นร่ำ .. O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 11 มีนาคม 2014, 06:49:PM .. เช้าตรู่ เรือนริมน้ำ อยุธยา ..
O ภาพเบื้องหน้า .. งามพิสุทธิ์-ในชุดขาว ตาวับวาวชะเง้อคอย .. ชม้อยเหลียว ข้าวในขันอุ้มถือ .. ด้วยมือเรียว ความรื่นรมย์ก็กอดเกี่ยวทุกเสี้ยวใจ O เพียงลมเช้าเฉื่อยโชย..อย่างโผยแผ่ว พายวาดแล้ว-อ่อยเอื่อย, เรือเรื่อยไหล คลื่นน้ำพลิ้วโยนระลอก..แผ่ออกไป พร้อมริ้ววงน้ำไหว..คือใจรอ O บรรจงหยิบจับของประคองถวาย นอบน้อมกายมอบสู่ท่านผู้ขอ หมายนัยธรรมผ่านเสียง..จะเพียงพอ- ช่วยเติมต่อภูมิธรรมลงย้ำใจ O ภาพ-พระที่ท่าน้ำ, เรือลำน้อย- กับงามหนึ่งรูปรอย..ที่ค่อยไหว- ค้อมคอลงรับคำ..พากย์ธรรมนัย พาเงื่อนเหตุอาลัย..พลอยไหววน O แสงเช้านั้นรองเรืองที่เบื้องหน้า เมื่อสบตาปลาบปลั่ง..อีกครั้งหน ช่อดอกไม้, ขันข้าว, เนตรวาวจน- สะท้อนพื้นสายชล-วาบ-วนเวียน O จวบแว่วเสียงสาธุ..บรรลุโสต เช่นกาลโชติช่วงแสงเข้าแปลงเปลี่ยน คือใจตรองธรรมพากย์..พลอยพากเพียร- เอาปัญญาตัดเตียน..บ่งเสี้ยนแซม O ชื่นเช้ากับนัยธรรม..จากคำพระ เมื่อสุดผละแววตา..จากหน้า-แก้ม พาอ่อนหวานรำบายลงก่ายแกม ก่อนป่ายแต้มพักตร์พิไลติดนัยน์ตา O จึงเช้าชื่น..ด้วยหมอก, ปวงดอกไม้- น้อมแนบไว้ด้วยละห้อยเฝ้าคอยหา ช่วงเช้านี้ลมเห่..กาลเวลา เกสรา-ภุมรินก็บินล้อม O ไหว้พระ..อธิษฐานเพื่อกาลหน้า สืบคุณค่าตั้งรอ..ร่วมหล่อหลอม รูปหน้าหรือนัยธรรม..หนอ-ด่ำดอม จนดูเหมือนจำยอม...อย่างพร้อมใจ O กราบพระ..บำบวงผ่านห้วงสินธุ์ หวังบรรลือแรงถวิล..จนสิ้นได้ จังหวะพายจ้ำจ้วง..หวัง-ทรวงใคร- จักหวามไหวตามระยะจังหวะแรง O กราบพระ..บำบวงผ่านท่วงที แววตาที่อ่อนโยนเริ่มโชนแสง พร้อมความหวานหอมล้ำ..ที่สำแดง ลงเติมแต่งโลกธรรม..ล้อมรำบาย O ภาพ-กุศลสืบสาน, ดอกมาลย์หอม ก็งามพร้อมแสงสรวงขึ้นช่วงฉาย ความอ่อนหวานอ่อนไหว..หัวใจชาย- ก็กำจายฝากคลื่น.แนบผืนน้ำ O ร่ำรอภาพ-บุญกุศลให้วนกลับ เพื่อสำหรับปลาบปลื้ม..แสนดื่มด่ำ- จักวนรอบเวียนรับ..ลำดับกรรม เอาหยั่งย้ำอาวรณ์..แนบนอนทรวง O ภาพสาวน้อย..ละม่อมหน้า..ที่ท่าน้ำ ค่อยตอกย้ำอกใจพลอยไห้หวง กราบพระดูแช่มช้อย, คำถ้อย-ปวง- หวังผ่านล่วงถึงใคร...หนอใจนั้น..? O น้ำกระทบกราบเรือ, แสงเรื่อส่อง- ก็เหลื่อมต้องผ่านแต้มสองแก้มนั่น ตากระทบรูปเยาว์, เมื่อเช้าวัน- ก็เฝ้าฝันใฝ่อยู่...ไม่รู้แล้ว O คล้ายเสียงธรรมล้อมโลก..เข้าโบกโบย เมื่อลมเช้าเฉื่อยโชย..ยังโผยแผ่ว ใจคนฤๅต้องสาป..เมื่อภาพแวว- ตาผ่องแผ้วผ่านนัย..รอไขว่คว้า O ก่อนเสียงธรรมจางหายกับสายลม เมื่อปรารมภ์มุ่งมั่นขอฟันฝ่า หมายเอื้อมเหนี่ยวพวงพะยอมให้น้อมมา ร่วมรับรองคุณค่า..แรงอาลัย O ลมเช้ายังเฉื่อยโชยอย่างโผยแผ่ว เมื่อดวงแก้วบนฟ้าทาบทา..สมัย ปลายปีกนกผกบินสู่ถิ่นไกล เมื่อหัวใจถวิลเห็นไม่เว้นวาง O ภาพพระที่ท่าน้ำ, เรือลำน้อย- เหมือนดั่งคอยเฝ้าอุบัติขึ้นขัดขวาง พร้อมรูปมือเรียวงามอยู่ท่ามกลาง- ม่านหมอกพรางขุ่นขาวแห่งเช้าวัน O ผมหล่นล้อมวงหน้า..เมื่อหน้าก้ม มือประนมคอค้อมอยู่พร้อมนั่น ด้วยรูปและโดยใจของใครกัน- แต่งเป็นสัญญาร่าง..ขึ้นขวางไว้ O ภาพ-จีวร, ลำเรือ, แดดเรื่อส่อง, พักตร์ผุดผ่องรูปขวัญ, เช้าวันใหม่- ก็เคลื่อนบทบาทล้อมเข้าย้อมใจ กลางลมไหววาดวี..ในที่นั้น O ภาพ-จีวร, ลำเรือ, ผิวเนื้อเนียน, เนตรวกเวียนเหลือบชะม้าย, น้ำส่ายสั่น- ก็เคลื่อนผ่านวูบไหวดั่งไฟควัน- แทรกส่วนสัญญารูป..โลมลูบใจ O จนเสียงธรรมจางหายกับสายลม เหลือเพียง-เนตร, เส้นผม..เกินข่มไหว- เข้ารายล้อมดวงตา..เกินฝ่าไป- พ้นผ่านรูปเพ็ญพิไล..ของใครแล้ว ! . . หัวข้อ: Re: O หอมกลิ่นร่ำ .. O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 11 มีนาคม 2014, 07:20:PM .. หัวใจที่ร่ำรอ ..
O ปล่อยเถิด .. ความในทรวงให้ร่วงหล่น ร่วงลงบนเปลี่ยวเหงาอย่างเบา .. แผ่ว ปล่อยนัยน์ตาอ่อนโยนได้โชนแวว- ความผ่องแผ้วพริ้มพรับ .. ให้รับรู้ O ยิ้มรับภาพงดงาม .. อยู่ท่ามกลาง- การเร้นพรางอาวรณ์ .. แอบซ่อนอยู่ วันแล้วและวันเล่า-ที่เฝ้าดู- ความนัยชู้ .. จากชาย .. ผู้หมายเชย O คล้ายว่าแรงสุมซ่อน .. อาวรณ์นั้น- จะไหวสั่นรูปรอย .. ให้ค่อยเผย- ผ่านแววตาอ่อนละมุน .. แสนคุ้นเคย แทนการเอ่ยถ้อยความออกตามใจ O แววตากอปรคำนึงหวานซึ้งอยู่ ก็ทอดทอนัยสู่ .. จนรู้ได้- ว่า-วงรอบเสน่หาความอาลัย ค่อยเวียนรอบวนไหว .. ที่ใจคน O ร้างรูปดาวบนฟ้า .. กล่อมราตรี เพียงเรื่อยรี้ลมล่วง .. โลมห้วงหน เหลือจันทร์แรมลอยเรียว -โดดเดี่ยวบน- ฟ้า, ใจคน..กลับช่วงกว่าดวงวัน O เหมือนงดงามเรื่อเรื้อง .. ที่เบื้องหน้า หยัดหยั่งบางคุณค่า .. เบื้องหน้านั่น แล้วยอบทบาทสู่ .. ให้รู้กัน ลบเงียบงันวันวานให้ผ่านพ้น O หลัง-ม่านหมอกบังพราง .. พ้นสางตรู่ ความนัยชู้ทั้งปวง .. ก็-ร่วงหล่น หลัง-วันเลื่อนลอยดวง, ในทรวงคน- ความนัยอบอุ่นล้น .. ก็หล่นรอ O พร้อม-สายลมอุ่นอ้อนแสนอ่อนโยน, ดอกมาลย์โอนหอมยิ่งทุกกิ่งช่อ รูปธรรม..ใจแนบลงแอบ-ออ ก็อยู่ล้ออาลัย..คอยไขว่คว้า O เตรียบความหมายนัยคำ .. หวังทำให้- บางอกใจวนวิ่งเสียยิ่งกว่า- เมื่ออกอุ่นอ้อมแขนห้อมแหนมา เนตรพรายพร่าสั่นไหว .. ด้วยนัยนั้น O รื่นรมย์อยู่ดีไหม .. หัวใจเจ้า กับยั่วเย้าอารมณ์ให้ซมสั่น รื่นรมย์ทั้งหัวใจ-ของใครกัน ? กับรำพันเร้ารัว .. หยอกยั่วใจ O เถิด-ให้เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว เก็บทุกแววหวานซ่อน .. อย่าอ่อนไหว อย่าพลั้งเผยแววตา .. ความอาลัย- เผลอออกให้เขาเห็น .. ความ เป็น มี O ให้รับรู้ความนัย .. แต่ในฝัน ด้วยว่านั่น-คือหลักแห่งศักดิ์ศรี- ของอาวรณ์เชิงชู้ .. กุล-ผู้ดี จากใจที่แฝงเร้น .. ขีดเส้นทาง O โอ – ลวดลายชาติภพ .. บนคบสูง จะเหมือนยูงอกแอ่นรำแพนหาง- อยู่กับฝูง .. งดงามอยู่ท่ามกลาง- การลอบเร้นอำพราง .. ได้อย่างไร ? O ยิ้มรับใจวุ่นวาย .. ที่คล้ายว่า- เผลอเผยอาวรณ์นั้น .. ด้วยหวั่นไหว รอการแกว่งสั่นรัว .. บางหัวใจ- จะแว่วให้รับรู้ .. ให้ดูแล O แว่ว .. มาเถิดอกใจผู้ใฝ่ฝัน หากมุ่งมั่นร่วมเคียง .. อย่าเพียงแค่- เก็บซ่อนไว้ปิดกั้น .. ให้ผันแปร- แล้วเฝ้าแต่ซ่อนเร้น .. ความเป็นไป O เพียงเพื่อความเงียบงันแห่งวันวาน จัก-เคลื่อนผ่านหวานหอม .. รายล้อมให้- การเผยรูป, สั่นรัวแห่งหัวใจ- ค่อยสั่นไหวเผยรอบ .. ให้ปลอบโยน ! O กลางสายลมโผแผ่ว .. เหมือน-แว่วดัง- เสียงกดข่ม, เหนี่ยวรั้ง .. ค่อยพัง-โค่น รอบอาวรณ์, แหนหวง .. ใคร-ช่วงโชน- เหมือน-ถ่ายโอนโอบแน่น .. ด้วยแขนเรียว ! . . หัวข้อ: Re: O หอมกลิ่นร่ำ .. O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 12 มีนาคม 2014, 06:19:AM .. เช้านั้น ..
O ภาพวันนั้น .. งามพิสุทธิ์-ในชุดขาว ควันจากข้าวกรุ่นลอย .. คน-คอยเหลียว หมอกหม่นในยามสาง .. ถูกร่างเพรียว- ล่มลาญความเปล่าเปลี่ยว พ้นเที่ยวทาง O เริ่มวัน, น้ำแล่นริ้ว, ลมพลิ้วผ่าน รูปพักตร์คราญรออยู่แต่ตรู่สาง เพื่อน, ผู้สูงวัย, ดอกไม้วาง- บนถาด .. ในท่ามกลางการรอคอย O ภาพ-เรือน้อย, วงคลื่นบนพื้นน้ำ พายจ้วงจ้ำ, พลิ้วแล้ว .. อย่างแผ่วค่อย แสงแรกวันเริ่มส่อง .. เรือล่องลอย คน-เหลือบตาเฝ้าคอย .. ชม้อยชม้าย O ขับรถตามเพื่อนมา .. ด้วยว่าใจ- มีรูปใครร้อยรัด .. เกินปัดป่าย- จน-รูปพักตร์-สายตา .. สบตาชาย- แววที่ฉายก็กระหวัดเข้ารัดรึง O รูปแห่งธรรม .. เคลื่อนรอยจนคล้อยลับ รูปเนตรพรับพริ้มอยู่ .. ก็จู่ถึง- รายล้อม .. บ่งบัญชา ให้ตราตรึง- แต่รูปหนึ่งเดียวนี้ .. อย่ามีคลาย ! O เห็นถึงความรมย์รื่น .. ริมผืนน้ำ, แววดื่มด่ำในดวงตาช่วงฉาย เห็นแววตาก้ำเกิน .. ความเขินอาย- นั้น-เวียนว่ายบทกรรม อยู่ตำตา O เห็น-เมือความอ่อนโยน .. นั้น-โชนเชื้อ ความก่ำเรื่อก็ป่ายแต้มทั้งแก้ม .. หน้า เห็น-ถึงความอ่อนหวานแผ่ซ่านมา ให้พี่, ป้า มองเห็นด้วยเอ็นดู O ระยิบเอย .. แววตาใต้ฟ้าต่ำ ผ่องผกายหวานล้ำ .. ออกย้ำสู่ เผยอารมณ์อ่อนน้อย .. ขึ้นช้อยชู- จนอารมณ์อีกผู้ .. รับรู้ความ O หม่นมัว .. เข้าสายก็หายสิ้น เมื่อหอมรินล้อมฝัง .. โลกทั้งสาม ลมแผ่ว, สูรย์ระยับ .. ตาวับวาม- ในคาบยาม .. ไม้ใบแกว่งไกวตัว O ปีกผีเสื้อลวดลายค่อยบ่ายบิน เมื่อทั่วถิ่นเคลื่อนพ้นความหม่นหลัว โบกกระพือปีกนั้น..จนสั่นรัว กับเพียงชั่วแสงสาง..เริ่มวางรอย O งดงามในรุ่งเช้าอันเหงาเงียบ หยาดเย็นเยียบทั้งปวง..ก็ร่วงผล็อย- ตามลมลูบแดดต้อง, ปีกล่องลอย- เลื่อนลายอ้อยอิ่งอยู่ในหมู่พรรณ O เม็ดน้ำค้างหยาดพราว..หมอกขาวขุ่น แดดอบอุ่นโอบผ่าน..ก็ปานฝัน พลิกพลิ้วปีกบางเบาใต้เงาวัน- เกาะกลีบคั้นหวานอยู่..ไม่รู้ลา O ลมแผ่วผ่านโลมลูบ..หมอกวูบไหว- ท่ามกลางไอแดดเรื้องอยู่เบื้องหน้า ปีกลวดลายแผ่กางโบกคว้างมา- เมื่อยอดหญ้าน้ำค้างเริ่มจางรอย O เรียวเรณูหอมหวานเชิดก้านรอ ให้ภู่ออแอบอ้อนเกสร-สร้อย เห็นปีกบางกลาดเกลื่อนค่อยเลื่อนลอย- ตฤปหวานอ้อยอิ่งอยู่อย่างรู้รส O หวานหอมเยี่ยงใดเล่าจะเท่าที่- เรณูชี้เชิดคอยนั้น..ค่อยหยด หรุบปีกบางเกาะเกี่ยว..คลานเลี้ยวลด- ค่อยจ่อจดหวานหอม..อย่างยอมตัว O อุ่นไอละอองแดดค่อยแวดล้อม เมื่อลมพร้อมพาระลอก..เข้าหยอกยั่ว มาลีพรรณส่ายดอก..พร้อมหมอกมัว- ก็เคลื่อนตัวล่มลาญแต่กาลนั้น O ปลายปีกนกโบกคว้างที่กลางฟ้า พร้อมแววตาของใคร..หนอไหวสั่น ? รูปปีกเหยียดแผ่ช่วง..บังดวงวัน- เมื่อดวงตาคู่นั้น..คล้ายสั่นสะทก O ปีกนกยังคลี่กางที่กลางฟ้า เมื่อแววตาเร้ารุม-ความ..สุมอก เหลือบแววปรอยปรอยปริบ .. เฝ้าหยิบยก- ขึ้นสาธก-แทนถ้อยให้คอยประเมิน O ปีกผีเสื้อเกาะกุมโกสุมหอม พักตร์ละม่อมก็อุทธัจด้วยขัดเขิน- จากแววตาล่วงล้ำคอยก้ำเกิน ครบครันการหยอกเอิน-สะเทิ้นใจ O สายหยุดหยุดหอมสิ้นแต่สิ้นสาย หลังแดดฉายโชนแต้มความแจ่มใส รูปเอย..แต้มแววตา-รูปหน้าใคร- จะรู้ตัวบ้างไหม..รูปใครกัน ? O สิ้นสาย ผ่านสาย แล้วสายสวาดิ ลดามาศก็อวลกลิ่นล้อมถิ่นฝัน เมื่อวางภพวางชาติมาพาดพัน- ฤๅอาจเบี่ยงเลี่ยงขวัญคลาดกันพ้น..? O พร้อมแววตาอ่อนโยนนั้นโชนช่วง ความเงียบเหงาทั้งปวงก็ร่วงป่น ปีกนกเหยียดเต็มช่วงที่สรวงบน เมื่ออกคนละห้อยเห็นไม่เว้นวาย ! O สิ้นช่วงการรอคอยละห้อยหา เมื่อแววตาอ่อนโยน .. นั้น-โชนฉาย- ความอ่อนหวานลึกล้ำ .. ร่วมรำบาย- ส่งความหมายผ่องแผ้ว .. ไม่แล้วลา .. มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ .. O กระโปรงดำเสื้อขาว .. ค่อยก้าวย่าง แก้มคิ้วคางเนตรคม .. งามสมหน้า มีจิตใจมุ่งมั่นคอยบัญชา เร่งศึกษาเรียนรู้ .. ไม่ดูดาย O ใจเลื่อนลอยล่องไปสู่ใครหนึ่ง- ที่คำนึงซึ้งอยู่ไม่รู้หาย แต่จากกันปลีกเร้น ..ไม่เห็นกาย เหมือนสิ้นสายเยื่อใย .. ร้างไมตรี O บ่อยครั้งที่ใจหญิง..ทั้งนิ่งเงียบ หวังปรุงเปรียบความหมายออกคลายคลี่- เพื่อหล่อเลี้ยงเจตจินต์..ให้ยินดี- ต่อครั้งที่สร้างบุญ .. เนื่องหนุนกัน O นั่งเหม่อลอยปล่อยฝัน..สู่วันเก่า ด้วยเงียบเหงาหัวใจ..ด้วยไหวหวั่น ด้วยเหว่ว้า..เกินคำจักรำพัน ใจเอยหัวใจขวัญ...เจ้าสั่นคลอน O หนังสือวางตรงหน้า..ใบหน้าก้ม หากสุดข่มใจจดกับบทสอน บางความหมายรุมเร้า..แสนเว้าวอน- พาความอ่อนหวานพร้อม..เข้าล้อมใจ O จนอีกปลายม้านั่ง...คล้ายดั่งเคลื่อน คล้ายใครนั่งแล้วเขยื้อน..ขยับใกล้ จนวงหน้ารูปเรียว..เบือนเหลียวไป แล้ว..ดวงใจดวงนั้น..ก็สั่นสะท้าน...! O นิ่งขึงตะลึงงัน..เมื่อพลันพบ คล้อยบรรจบรูปฝัน..เมื่อวันผ่าน ที่..ระทึกเต้นรับอยู่นับนาน คือใจคราญหวานล้ำ..เข้ากล้ำกราย O เถิด-แววเนตร..ฝืนอาย..รำบายบอก ให้ระลอก..อ่อนโยน..นั้นโชนฉาย- แรงอาวรณ์..ซาบซึ้ง..ต่อหนึ่งชาย สืบความหมาย..สัมพันธ์..นิรันดร O เมื่อมือรวบ..มือนุ่ม..เข้ากุมกอด จิตฤๅคลายพร่ำพลอด..กับออดอ้อน เมื่อเนตรคราญผ่านเงา..แทนเว้าวอน จิตก็อ่อนโยนเหลือ..ด้วยเยื่อใย O ยิ้มให้ด้วยหัวใจ..ที่ใฝ่ถึง ด้วยซาบซึ้งต่อกัน..ด้วยหวั่นไหว ด้วยถวิล..ปรารถนา..ด้วยอาลัย ด้วยเยื่อใย..สายสวาดิ..พันพาดทรวง O มือตระกองรูปหน้า...สบตาจ้อง ใจสี่ห้อง..ผ่องแผ้วไม่แล้วล่วง พระเอย..ฤๅนัยคำ..ที่บำบวง จะเริ่มช่วงกำลังเข้าสั่งการ O เคลื่อนคล้อยเกี่ยวก้อยกุม..ลับมุมตึก ร่มเงาพฤกษ์บดบัง..คล้ายดั่งม่าน- ก็รวบร่างจบจูบ..จน-รูปคราญ- ใจหวิวหวั่นสั่นสะท้าน..ระทวยองค์ O อ่อนไหวด้วยอ่อนหวาน .. ใครผ่านสู่ เมื่อรับรู้เร้ารุม .. ก็ลุ่มหลง ท่ามระลอกชื่นชู้ .. ฤๅรู้ปลง เหลือแต่ร่วมจำนง .. ร่วมวงกรรม O มือเกาะแขน-เนตรรื่น .. ใจตื่นรับ ร่วมลำดับอภิรมย์โบยบ่มร่ำ ขณะสูรย์พร่างแพร้ว .. ลมแผ่ว-พรำ กระซิบคำ-คำหนึ่งก็ตรึงทรวง O จับจูงมือก้าวย่างในทางเที่ยว ความเปล่าเปลี่ยวใจแก้วก็แล้วล่วง เหลือหวานหอมหลอมหลั่ง .. ใจทั้งดวง ทั้งแหนหวงห่วงหาทั้งอาวรณ์ O รอเถิดรอบ .. รมยารูปราศี แม้นกุมเก็บใจนี้ .. หลบลี้-ซ่อน จะตามสืบเสาะหาด้วยอาทร ตราบมอดมรณ์วงวัฏฏ์เป็นภัสม์ธุลี O ล่ำลาเมื่อ .. รอบกาลเคลื่อนผ่านคล้อย ให้ทราบรอยอาวรณ์ .. ช่วงตอนที่- โหมขึ้นสอบน้ำใจ .. หัวใจมี เมื่อจักลี้รูปพราก .. ไปจากกัน O เสาร์นี้จะมาใหม่ .. รับไปเที่ยว ก้อยรอเกี่ยวก้อยนวล .. ร่วมทวนฝัน ตลาดน้ำดำเนิน .. นานเนิ่นวัน ไม่เคยหันกายเยือน .. เข้าเรือนปี O ร่างชายหนุ่มเคลื่อนลับไปกับตา แต่งร่องรอยรมยา .. ทำหน้าที่ มีเนตรหนึ่งระยับช่วง .. บ่งท่วงที- ของรูปรอยสุนทรีย์ .. โหมลีลา O หัวใจสาวเจ้าเอย .. ฤๅเคยคิด หลังแนบชิด .. แต่จะคอยละห้อยหา อ้อมแขนอุ่น .. ยังอุ่นร่างไม่สร่างซา จุมพิตจบเนิ่นช้า .. ก็คาใจ ! . . หัวข้อ: Re: O หอมกลิ่นร่ำ .. O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 12 มีนาคม 2014, 07:52:PM .. ตลาดน้ำดำเนินสะดวก ..
O เดินผิวปากเข้าบ้าน .. สำราญรื่น นึก-แววตื่นในตา .. ยามพร่าไหว เมื่อปากจบแก้มเนียน .. ที่เปลี่ยนไป- คือก่ำเรื่อโลมไล้ .. แก้มใครนั้น ! O รูปเอย .. รูปตรูแต่ตรู่สาง รอใครย่างย้อนกลับมารับขวัญ เตรียมกายเตรียมใจอยู่ใกล้กัน อ่อนหวานนั้นล้อมทรวงไม่ล่วงลา O หลังคาบยามพันแสงขึ้นแต่งสี เมื่อใครหนึ่งถึงที่ .. หนึ่งปรี่หา มือรวบมือเรียวไว้ .. จ้องนัยน์ตา ค่อยจบหน้าผากแก้ว .. เพียงแผ่วเบา O ก่อนคนขับ .. ออกรถก็จดจ้อง แก้มเนียนผ่องผาดล้วน .. เนื้อนวลเจ้า ก่อนชะโงกจบจูบ .. แก้มรูปเยาว์- ที่ใฝ่เฝ้ามุ่งหมายมาหลายวัน O แก้มเอย แก้มเนียน .. เมื่อเปลี่ยนสี บอกท่าทีอยู่พร้อม .. รอกล่อมขวัญ จะซ่านสีเรื่อสู่ .. ให้รู้กัน- ว่าเรื่อนั้น-เลือดแดง .. จากแหล่งทรวง O เนตรเอยเนตรผกาย .. เหมือนชายอ้อน ผ่านความหมายเว้าวอนให้ย้อนช่วง อิ่มเอิบท่ามกลางภวังค์ .. ใจทั้งดวง- อาวรณ์หวงลึกล้ำ .. ก็จำเริญ O คนขับรถรื่นรมย์ .. ต้องข่มยิ้ม เอ็นดูคนแก้มอิ่ม .. ตาพริ้ม- เขิน เมื่อรถถึงตลาดน้ำ .. ที่ดำเนิน คนหลับเพลินก็ตื่น .. ด้วยรื่นรมย์ O จูงมือรูปแก้มอิ่ม .. ไปริมน้ำ เรือหลากลำจอดเรียง .. คนเสียงขรม พายหลบหลีก .. ตามติดให้พิศชม จนเนตรคมวาบหวัง .. อยากนั่งเรือ O เรือลำน้อยลอยลำ .. พายจ้ำ .. จ้วง ใจสองดวงเพลิดเพลินจำเริญเหลือ มีหอมหวานละเมียดละมุน .. คอยจุนเจือ เติมแต่งเชื้ออาลัย .. พาไหววน O ดูจอแจอึดอัด .. คนยัดเยียด เรือเบียดเสียดกระแทกลำซ้ำซ้ำหน พายคอยค้ำ .. ขัด-คา .. เพื่อพาคน- ท่องสายชล .. ทัศนาบรรดามี O เรือสวนลำต่างเที่ยว .. พลันหลียวเห็น- รูปงามเด่น .. ท่วงท่า .. กอปรราศี พร้อมเพื่อนฝูงมากหน้า .. ล่องวารี คือคุณป้าคนดี .. วันนี้-มา O เห็นแต่ไกล .. จึงค้อมคอน้อมไหว้ และเมื่อใบหน้าเรียว .. เจ้าเหลียวหา เหมือนเผยให้พิศเล็ม .. อยู่เต็มตา เป็นพิศป้ามองเห็น .. ว่าเอ็นดู O ค่อยค่อยจ้วง ค่อยค่อยจ้ำ เรือลำน้อย คนก็คอยชม้อยตา .. สบตาอยู่ แดดอุสุมโลมแต้ม .. เอาแก้มตรู- ปลั่งเลือดฝาดรอยชมพู .. น่าดูนัก O ถึงบ้านใหญ่มีเตาเคี่ยวน้ำตาล ก็พาคราญแวะสู่ให้รู้จัก- ผ่านกระทะเดือดปุด .. ก็หยุดพัก พายจ้วงตักให้ชิมลองลิ้มรส O น้ำตาลเคี่ยวหวานหอม .. คนล้อมหมู่ อีกหวานหอมพร้อมอยู่ .. เหมือนรู้บท กลิ่นหอมโชยจากกระทะไม่ละลด ใจก็จดจองหอมไม่ยอมล้า ! O มือเรียวเจ้าเกาะแขน .. กำแน่นอยู่ คอยมองเมียงเฝ้าดู .. เพื่อรู้ว่า- จากขั้นปลาย .. ย้อนเห็น .. ความเป็นมา ด้วยสายตา .. พิศเฝ้า อยากเข้าใจ O เหงื่อซึมตามไรผม .. ตาคมเจ้า- ก็วาบเงารื่นรมย์ .. เกินข่มไหว มือเกาะแขนอยู่พร้อม .. ฤๅยอมไกล- จากผู้ใฝ่เฝ้าครอง .. ทุกห้องทรวง O จวบบ่ายคล้อยถึงตอนต้องย้อนกลับ แววตาเอยวามวับ .. ไม่ลับล่วง เมื่อหอมหวานที่ประดังใจทั้งดวง ยังคงช่วงแรงอยู่ไม่รู้จาง O ดอนหอยหลอด .. ทอดตัว .. คล้ายยั่วเย้ย จะผ่านเลย .. ก็เอ็นดู-คนคู่ข้าง จิตอ่อนโยนอ่อนไหว .. น้ำใจนาง คล้ายจะพร่างพรมหยด .. คอยรดใจ O แวะเข้าหาร้านนั่ง .. มีบังแดด ท่ามกลางแวดล้อมทะเล .. คอยเห่ให้ หมู่พฤกษ์ทอดร่มผ่าน .. กิ่ง..ก้าน..ใบ ลมแผ่วไกวกวัดคลื่น .. อยู่ครื้นเครง O ปวงสำรับกับข้าว .. ช่วยเจ้าสั่ง ก่อนเอื้อมโอบด้านหลัง .. คนนั่งเพ่ง- เหม่อมองแสงแดดระยับ .. คล้ายกับเกรง- กาลจะเร่งรุดตอน .. ไม่ย้อนคืน O ลมอุสุมรุมร้อนเข้าย้อนย้ำ พื้นผิวน้ำก็ประดุจจะสุดขืน ค่อยค่อยไหวระลอกโถม .. อยู่โครมครืน พร้อมใจตื่นแหนหวง .. เกินหน่วงแล้ว ! O เข้มครามหมู่เมฆขาวใต้ราวฟ้า สกุณาส่งเสียง .. ยินเพียง-แผ่ว ลำตะวันสาดสรวงทุกช่วงแนว ส่งพราวแพรวโลมอาบทุกบาปบุญ O เพียงครั้งคราวห้วงฝันชีวันหนึ่ง ความตราตรึงบรรจบแสนอบอุ่น กระแสธารเสน่หาได้การุญ เอื้อละมุนละไมหวาน .. วาบผ่านใจ O จึงครั้งนั้นไพจิตรนิมิตช่วง โลกทั้งปวงปรากฏความสดใส ถ้วนรสหวานกลิ่นหอมพะยอมใด เหมือนหลั่งให้อบร่ำทุกค่ำคืน O วันจะเลื่อนเดือนจะลับไม่รับรู้ เหลือเพียงผู้คะนึงหาเกินฝ่าฝืน เปลื้องความหมายแจ่มชัด .. ทุกหยัดยืน จนยากกลืนกลบละมุนอบอุ่นนั้น O เพียงคราวครั้ง .. ตรึงติดในจิตหนึ่ง ความคิดถึงบีบใจจนไหวหวั่น คมอาวรณ์เสียดชีพคอยบีบคั้น เกินบากบั่นก้าวถอยจากรอยกรรม O คือร่องรอยบริบทความสดชื่น พร้อมรมย์รื่นบรรจบให้อบร่ำ ป่นมดเท็จเจ็บแสบ .. เคยแอบอำ กลบชอกช้ำ .. ด้วยคุณค่า ในท่าที O หวานเอยหวาน .. ชายตอบอีกรอบแล้ว ส่งพร่างแพร้วเอ่อกมลแทบล้นปรี่ กลบอดีตกลืนยุค .. เคยคลุกคลี จนหมดที่หมดทาง .. ระหว่างกัน O ร้อยเป็นห่วงผ่านลมที่บ่มพัด หวังเลาะรัดบ่มยิ้มกลางคิมหันต์ งามเจ้าเหมือนแรงหน่วงจากช่วงบรรพ์ ให้มุ่งมั่นแต่เห็น .. ไม่เว้นวาย O โอบเอวรูปอ้อนแอ้น .. พักตร์แหงนเงย เนตรเจ้าเผยอ่อนโยน .. ออกโชนฉาย ด้วยอาลัยหวานละมุนแนบอุ่นอาย- กับอกชายอ้อมแขน .. เจ้าแอ่นพิง O เกศาหอมเสียดส่าย .. อยู่ใต้คาง อวลกรุ่นเนื้อเนียนนาง .. จากปรางหญิง ตรงหน้า .. ทะเลกว้าง .. เวิ้งว้างจริง หากที่อิงแอบใจ .. แสนใกล้ชิด O จวบคล้อยค่ำจึงขับรถกลับบ้าน แสนเอ็นดู .. รูปคราญสำราญจิต เจ้าเอียงหน้าเนตรชม้อยเฝ้าคอยพิศ ก็โดยฤทธิ์เสน่หา .. เกินกว่ารั้ง O สำรวจจ้องมองหน้า .. แววตายิ้ม รูปแก้มอิ่มตัวเองก็เปล่งปลั่ง บัดดล ! รถก็หยุด .. คนสุดยั้ง จบปากฝังแก้มอิ่ม .. ไว้พิมพ์ใจ O นิ่งนานจนอกใคร .. เริ่มไหวหวั่น เมื่อเลื่อนจบปากนั้น .. คนสั่นไหว อยู่อ้อยอิ่งนิ่งนาน .. ราว .. คว้านใจ ตราบยินหอบโหยไห้ .. จากใจนั้น O ก่อนค่อยเคลื่อนรถต่อ .. อย่างรอรี เมื่อแห่งที่หัวใจ .. คลายไหวสั่น แต่ละจบจูบย้ำ .. คือสัมพันธ์ จำหลักมั่นคงอยู่ .. ฤๅรู้เลือน O รอยยิ้มวับวามแล้วในแววตา และเหมือนว่ารอระยับ .. เพื่อขับเคลื่อน- เอาท่วงทีรูปจริตเข้าติดเตือน ทุกขยับหรือเขยื้อน ฤๅ-เคลื่อนพ้น ? O ในความหมายเผยออก .. เหมือนดอกไม้- ต้องลมไหวเอนช่อ .. ใช่-รอหล่น หากเพื่อโปรยกลิ่นหอมออกล้อมลน ให้แห่งหนรมยา .. รสมาลี O ในแววตาสื่อผ่าน .. รูปคราญเอ๋ย ราวผ่านเย้ยหยอกยั่วให้ตัวพี่- โอบรูปเนื้อเนียนไว้ .. ด้วยใยดี อย่าได้มีลังเลสักเวลา O ด้วยแววตาส่งผ่าน .. รูปคราญเจ้า ช่างรุมเร้าล้อมกักอยู่หนักหนา ดูเถิดนั่น .. ท่วงทีกอปรลีลา เหมือนแววสาแก่ใจ .. วาบไหวล้อ ! O โอ งามเหมือนจะตามเข้าลามล่วง ลงแทรกทรวงเว้าวอน .. ออดอ้อนขอ- แนบติดตรึงรุมเร้าพะเน้าพะนอ อยู่ร่ำรอปรารถนาแรงอาลัย O โอ งามเหมือนติดตามเกินห้าม .. หัก ค่อยรายล้อมรูปพักตร์จำหลักให้- ตรึงในแววตาผู้รับรู้นัย เพื่อมอบใจสู่มือ .. ให้ถือครอง ! . . หัวข้อ: Re: O หอมกลิ่นร่ำ .. O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 12 มีนาคม 2014, 07:56:PM .. พศ.๒๔๒๘ ..
O บริบทงดงามแห่งยามเช้า หมอกทึมเทารอบเรือนค่อยเลือนล่อง แสงตรู่สางโอบเอื้อรูปเนื้อทอง- ที่เผยรูปผุดผ่อง ในห้องเดิม O ห่างหายไปนับเดือน .. จากเรือนพ่อ โดยช่วงต่อสองกาล .. เคลื่อนผ่านเสริม อีกคลื่นความถี่แสง .. ซ้อนแสงเดิม- เข้าแต่งเติมโลกธรรมอยู่ตำตา O แจ้งสิ้นถึง .. เงียบงามแห่งยามเพรง กับรุดเร่งทุกเรื่องที่เบื้องหน้า ความสับสนรอบด้านที่ผ่านมา อีกแววความปรารถนาในตานั้น ! O ยิ้มรับความหวานหอมในอ้อมกอด ความ, คำ-ออดอ้อนใส่จนใจสั่น ยิ้มรับความอ่อนหวานที่ปานทัณฑ์- ล้อมรัดขวัญฝากรักเข้าปักทรวง O ขณะความมืดดำ .. ยังร่ำไร ความรักแรงอาลัย .. อันใหญ่หลวง- ค่อยแทรกลงหลอมหลั่งใจทั้งดวง ให้แต่ห่วงละห้อยเห็น อยู่เช่นนั้น O น้ำตาผู้บำราศ .. ค่อยหยาดรื้น พร้อมความอื้นโอดห่ม .. ให้ซมสั่น อาวรณ์ความอ่อนหวานแห่งวานวัน ที่จักล่ามรัดขวัญตราบวันวาย O ลำแสงสุกสว่างที่กลางห้อง เคยครอบร่างเปิดช่องพาล่องหาย และเส้นทางเดียวกันพาผันกาย- คืนกลับให้เดียวดาย .. อยู่รายล้อม ! O ลับสิ้นแล้วรูปชายผู้สายสวาดิ จักแคล้วคลาดสร้อยศัพท์ เคยขับกล่อม ต่อแต่นี้แรงถวิล .. จักยินยอม- แซ่เสียงห้อมห่มชู้ .. แทนผู้ตระกอง O ก่อนแว่วเสียงอื้ออึง .. มาถึงที่ พ่อ, แม่, พี่ ตาพรับ .. คอยจับจ้อง แววตาแสนตื่นเต้น เขม้นมอง- รูปเนื้อทอง .. ที่ถลันเข้าอัญชลี ! O เข้ากอดแม่ร่ำไห้ด้วยใจรัก คิดถึงนัก .. เมื่อพรากไปจากที่ หากหัวใจถวิลชู้ กลับรู้ดี- ว่ายามนี้เศร้าอยู่ .. ด้วยผู้ใด O แล้วเรื่องราวทั้งปวงก็ล่วงสู่- ให้พ่อแม่ทั้งคู่ .. รับรู้ได้- ว่า .. ที่กายลับเลือนจากเรือนไป ผ่านลำแสงสุกใส .. จากไกลลิบ O ผู้สูงวัยรับฟัง .. เรื่องทั้งหลาย ลมผ่านสายเย็นเยียบ .. คนเงียบกริบ บางครั้งคราวเหม่อลอย .. ด้วยถ้อยกระซิบ- พร้อมตาปริบปรอยอยู่ .. ไม่รู้ตัว O ภาพในห้วงสัญญา .. ยังบ่าออก ล้วนภาพผู้กระซิบบอก .. คำหยอกยั่ว ใจผู้หลงยุคนั้น .. ใช่หวั่นกลัว หากสั่นรัวด้วยสวาดิที่พาดพัน O เสียงไก่ขันเจื้อยแจ้วยังแว่วอยู่ เมื่อบ่าวทาสรวมหมู่ .. พร้อมอยู่นั่น เดินกลัวกลัวกล้ากล้า .. เข้ามากัน ข้าวในขันคอยท่า .. รู้ปรารมภ์ O แถบแพรขาวบางนุ่ม .. ห่มคลุมไหล่ เสียบแซมกลีบช่อไม้ที่ปลายผม สังวาลย์เพชรวางสาย .. ให้หมายชม- หรือ-เพื่อข่มขับมืด .. ให้จืดจาง ? O ข้าวหอมกรุ่น, เช้าใหม่, รูปวัยเยาว์ สงฆ์ฝ่าสายลมเช้า .. ค่อยก้าวย่าง ละม่อมรูป, อิริยาและท่าทาง- หยิบ, ประจง-จับวาง หยัดร่างรอ O ภัตตาหาร, ปรารถนา..ร่วมภาวะ ในวาระมอบสู่ท่านผู้ขอ ห้วงจิตใจดื่มด่ำ..นั้นร่ำรอ- การเกิดก่อนามรูป..โลมลูบใจ O งามรูปทรงเกศินี..ในที่นั้น ช่อมาลย์พันผูกแซม..พักตร์แจ่มใส ผืนแพรบางหอมอวลอบนวลใย ห่วงกำไลสวมกรเจ้าอ่อนน้อย O อธิษฐานนิรมิต..ด้วยจิตรู้- ธรรมพระผู้ล่มโลก..ปวงโศกสร้อย มือประคองค้อมคอ..เพียงรอคอย- ก่องดงามแช่มช้อย..ทุกรอยกรรม O เช้านั้นเรื้องพันแสงโลมแหล่งหล้า พร้อมปัญญาอำไพเรื้องให้สัม- ผัสกล่อมเกลาทุกข์โศกปวงโลกธรรม อันคอยย้ำยุดอยู่..ไม่รู้ลา O กรประคองน้อมกายถวายภัตต์ ก็โดยศรัทธ์ท่วมใจผู้ใฝ่หา หมายอำรุงบาทพิถีผู้ลีลา- ธรรมจักรยาตรา..สู่หล้าไกล O น้อมใจลงจดจำพระธรรมพจน์ บริบทคอยสดับ..ก็ขับไข เข้าล่มลาญหม่นมัวในหัวใจ เผยร่องรอยสดใสผ่านนัยน์ตา O ครั้งนั้นรูปละม่อม..เจ้าน้อมเศียร รับพากย์เธียรกล่อมสู่..เพื่อรู้ว่า- สุดเส้นทางตามตัด..คืออัตตา- ต้องถูกพล่าผลาญหมด..ทุกบทตอน O ประนมกร, คอค้อมลงน้อมนบ ปรุงชาติภพจดจำในคำสอน ชั่วนิ่งนึก .. ใจล่วงสู่ช่วงตอน- ความเว้าวอนอ่อนหวานที่ผ่านมา O ลมรุ่งเช้าเฉื่อยโชย .. ค่อยโรยผ่าน เมื่อใจคราญแต่คอยละห้อยหา ตราบสบเลศวามช่วง .. อีกดวงตา หวามก็บ่าแรงล่วงถึงดวงใจ O เบื้องหน้าคือ-รูปกาย .. ของชายซึ่ง- แววตาซึ้งสบแล้ว .. ฤๅ-แล้วได้ ? ฤๅมีกรรม .. ร่วมสร้างแต่ปางใด สบแล้วให้แต่คะนึงคิดถึงกัน ? O จะชาตินี้ชาติหน้าหรือชาติไหน พบปะหน้าเมื่อใด .. ต้องไหวหวั่น ตาสบรูป .. ภพชาติต้องพาดพัน ชั่วสบพลัน-แรงชู้ .. ก็ จู่โจม ! O หลัง-รูปชายยามเพรง .. ถูกเพ่งพิศ นฤมิตยามรุ่ง .. ก็ปรุงโฉม- ดลอาวรณ์ในรูป .. ล้อม-ลูบโลม- พาแรงโสมนัสช่วงกลางห้วงใจ O ที่ตลาดน้ำ .. โลกใหม่ กับใครนั้น กลางช่วงวันแดดจ้า .. ท้องฟ้าใส รูปหน้าชายเคยพิศ .. ยังติดใน- ความทรงจำ .. เหมือนใคร .. เช้าใหม่นี้ ! O ดูเอาเถิด .. แววตาเบื้องหน้าตน แม้น-ในท้องทางถนน .. ยังล้นปรี่- ด้วยอาวรณ์อาลัยเยื่อใยมี เหมือนผู้ที่เคยกอด .. อ้อนออด-คำ ! O ดูแววตาพิสวงที่ตรงหน้า เพ่งมองมาเสียจน .. อีกคนขำ ดูท่าทีขัดเขิน .. แสร้งเมิน – ทำ ความรื่นรมย์ก็ร่ายรำอยู่ตำตา O งามรูปทรงเกศินี .. ในที่นั้น เช่นรูปฝันเผยรอย .. อยู่คอยท่า แพรบางนุ่มคลุมไหล่ .. แววในตา เหมือนทอดรอขวางหน้า .. เพื่อท้าทาย ! O แรกละอองพันแสง .. แต้ม .. แต่งโลก- ย่อมล่มโศกอาดูรจนสูญสลาย แรกสบพิศเพ่งมา .. แววตาชาย- รู้-จับความเฉิดฉาย .. แนบสายตา O จึงเช้านั้น .. สายตา, รูปหน้าสะคราญ สบ .. ประสาน .. ละเมียดละมุนด้วยคุณค่า เผยท่วงทีขัดเขิน .. เมียงเมินมา เหมือนเพรียกอารมณ์ชาย .. อย่าคลายคะนึง ! O เจ้าของรูปเลือนลับ .. คล้ายกับว่า ชี้ .. บัญชาให้คอยละห้อยถึง ตาสบรูปวูบเดียวก็เหนี่ยวดึง- อารมณ์ซึ้งหวานหอม ขึ้นล้อมรอ O สิ้นช่วงการมองเมิน .. ก่อน-เขิน .. หลบ- บันดาลภพชาติเกิด .. บรรเจิดต่อ ชั่วเพียงหวานรุมเร้า คอยเคล้าคลอ รูปลออก็สั่นรัวทั้งหัวใจ O ขึ้นเรือน .. ทั้งแม่พ่อนั่งรออยู่ ก่อนเรื่องราวผ่านสู่ .. ว่า-ผู้ใหญ่- ของชายหนึ่งสู่ขอ .. ด้วยพอใจ- อิริยาละมุนละไมแห่งวัยเยาว์ O บัดนั้น - ใจวูบวาบ .. ถึงภาพผู้- แอบมองอยู่จนเห็น – หรือ .. เป็นเขา ? แววอ่อนโยนอ่อนหวาน .. แต่ผ่านเงา- ก็คอยเร้ารุมอยู่ .. ไม่รู้เลือน O แล้วเรื่องราวชายผู้ .. มาสู่ขอ ก็มากพอรับรู้ .. ทั้งดูเหมือน- ว่าหัวใจแม่พ่อ .. เฝ้ารอเยือน- ด้วยยิ้มเปื้อนปนแล้ว .. ทั่วแววตา O ทางหนึ่ง .. ให้พ่อแม่มาสู่ขอ ทางหนึ่ง .. ยืนเฝ้ารอเห็นต่อหน้า นิ่งนึกจนรู้ทัน .. ก็หันมา- รับรู้คำบิดา .. รับปรารมภ์ ! O รูปสองชายต่างยาม .. ค่อยลามล้อม- เหลือภาพเดียวแนบน้อม .. เข้าห้อมห่ม- รอบสัญญาในจิตให้ติดจม- อยู่ในห้วงอารมณ์ .. ด้วยรมยา O ทั้งแววตาท่าที .. ราศีผู้- เคยเคียงอยู่คู่ใจ .. กับใบหน้า- ของรูปผู้ยืนรอ .. จ้องต่อตา- นั้นเหมือนว่าร่างเดียว .. คนเดียวกัน . . หัวข้อ: Re: O หอมกลิ่นร่ำ .. O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 13 มีนาคม 2014, 05:53:AM .. วังหน้าองค์สุดท้าย ..
O เหตุจาก .. ปฏิรูปการปกครอง จึงจำต้องรวบรัด .. การจัดสรร- เก็บภาษีที่เดียว .. จนเกี่ยวพัน- ถึงตัดบั่น .. แหล่งทุนเหล่าขุนนาง O กรมพระราชบวรวิไชยชาญ ยากทนทานองค์ราช .. จึงบาดหมาง รายได้หนึ่งในสามต้องจำวาง- ให้ส่วนกลางเก็บเอา .. ส่งเข้าคลัง O ปฏิกิริยาโต้ตอบ .. ย่อมตอบกลับ ไม่ยินดีน้อมรับ .. ในรับสั่ง ความขุ่นเคืองขุ่นข้อง .. แห่งสองวัง- ก็เหมือนคั่งค้างใน-หัวใจคน O เมื่อประโยชน์, อำนาจ ต้องขาดสิทธิ์ ความสัมพันธ์ญาติมิตร จำปลิด .. ป่น ความกินแหนงแคลงใจ .. ยิ่งใหญ่จน- แม้เลือดข้นร่วมสาย .. ยังคลายจาง ! O เมื่อสายเลือดร่วมเชื้อ .. แห่งเครือญาติ ถูกตัดขาดแบ่งแยกจนแตกข้าง บรรจบช่วงภัยอรินทร์ .. ล้อมถิ่นทาง ชาติเหมือนวางลงเพิ่มเป็นเดิมพัน O จวบถึงกาลวังหน้า .. ชีวาสิ้น ความเดือดดิ้นในจิตก็บิดผัน ความขัดแย้ง .. ทั้งปวงในช่วงวัน- เหมือนถูกทอนถูกบั่น .. ในทันที O สุดเส้นทางระแวดระวัง .. ถึงวังหน้า ให้ช่วงกาลเวลา .. ทำหน้าที่- พาขุ่นข้องลับเลยจากเคยมี- จนหลีกลี้เลือนพรากสิ้นจากใจ O ครั้งนั้น .. รูปผ่องแผ้วเจ้าแว่วอยู่- หลังเรื่องราวผ่านหูจนรู้ได้- ว่าอำนาจหมุนเวียนย่อม .. เวียนไป- หลอกล่อให้ใจคน .. ดิ้นรนคว้า ! O ครั้งนั้น .. ภัยภายนอกยังกลอกกลิ้ง หากภายในกลอกกลิ้งเสียยิ่งกว่า เมื่อผู้คน .. ด้อยชั้นทางปัญญา การศึกษา .. จึงต้องปรับเข้ารับรอง O ด้วยสายตาผู้เคยผ่านโลกใหม่ ทั้งหัวใจ .. พร้อมสรรพการจับจ้อง โลกท่ามกลางคาบยามที่ตามมอง นั้น-ยังต้องพัฒนา .. อีกช้านาน O เห็นถึงความเปลี่ยวเปล่า .. ยุคเก่าก่อน ที่สายลมเหนื่อยอ่อน .. พัดย้อน .. ผ่าน เห็นถึงการถนอมขวัญแห่งวันวาน ที่ยังหวานซึ้งอยู่ .. ไม่รู้เลือน O ลับรอยรูปแห่งธรรม .. ในยามเช้า อีกรูปเงาก็กำจายลงป่ายเปื้อน- บนหัวใจ .. ทวงสิทธิ์คอยติดเตือน- เพื่อทุกการขยับเขยื้อน .. ยากเคลื่อนพ้น ! O เห็นถึงกาลเบื้องหน้า .. ก่อนหน้าเขา ว่าเมืองเราเมืองนี้แทบปี้ป่น ด้วยอำนาจการเมือง .. เขาเปลื้องปรน- เปรอบำรุงกลุ่มคน .. พวกตนเอง O จึงยังด้อยพัฒนา .. ยังล้าหลัง เมื่อคนยังตาปิด .. ไม่พิศเพ่ง- จนเห็นเลศกลทราม .. มัวคร้ามเกรง- การข่มเหง .. สิทธิ์ เสรีของชีวิต O เห็นถึงระบอบอุปถัมภ์ .. ยังค้ำเมือง อำนาจเงินยักเยื้อง .. ปลดเปลื้องผิด เห็นโง่เขลาถูกชู .. ไม่รู้คิด ทั้งเห็นทิศเบื้องหน้า .. แสนพร่ามัว O เมื่อเส้นขีด .. ถูกย่ำก้าวล้ำล่วง ก็เหมือนช่วงฝนทาจนฟ้าหลัว อกย่อมเหมือนเส้นไฟ.. วาบไหว .. รัว- เริ่มลั่นเสียงเย้ยยั่ว .. สิ้น-กลัวเกรง O เห็นถึงกาลข้างหน้า .. เบื้องหน้านั้น เสียงหวาดหวั่นเคยฉุด .. ขวาง-รุดเร่ง จักเปลี่ยนช่วงเยี่ยงฝน .. ที่อลเวง- ร่วงฝ่าเพลงสายลมที่พรมพะนอ ! O ถ้วนสิ้นความอยู่ดีของชีวิต คือมาตรวัดถูกผิด .. ให้คิดต่อ- ว่า – ระบบหรือระบอบที่ชอบพอ- ใด-อาจก่อประโยชน์ผล .. ต่อคนไทย ? O เห็นโลกที่ตรงหน้า .. ยังช้าเฉื่อย ดังสายน้ำอ่อยเอื่อย ค่อยเรื่อยไหล ขณะแววตาวาว .. คิดยาวไกล- ถึงบ้านเมืองทันสมัย .. แต่ไม่พัฒนา ! O พัฒนาการก้าวล้ำ .. จักสัมฤทธิ์ จำต้องคิดต่อเนื่องไปเบื้องหน้า มุ่งไปสู่จุดหมาย .. ด้วยสายตา- ของผู้กอปรปัญญา .. นำหน้าชน O เห็นประเทศเพื่อนบ้าน .. ล้ำผ่านไป จากสายตายาวไกล .. จึงได้ผล สุจริต .. โปร่งใส .. ที่ใจคน คือเบื้องต้นจุดเริ่ม .. ช่วยเสริมการณ์ O เมื่อล้วนแต่หัวเก่า .. นั่งเฝ้าเมือง ย่อมเปล่าเปลืองทุกช่วงที่ล่วงผ่าน อุปถัมภ์ .. คือปลักความดักดาน- ค้ำจุนบัวใต้ธาร ครองบ้านเมือง ! O เมื่อเส้นขีดกีดกัน .. ถูกบั่นขาด- โดยอำนาจเร้นแฝง .. คอยแต่งเรื่อง ในเส้นทางปกครอง .. จึ่งนองเนือง- ด้วยเลือดเนื้อเชื่อเชื่อง .. ต่อเนื่องมา .. ราชวงศ์สุดท้ายของรัสเซีย .. O แล้ว .. เรื่องในโลกใหม่ก็ไหววาบ ผุดเผยภาพต่อเนื่องอยู่เบื้องหน้า เมื่อรัสเซียเปลี่ยนผ่าน .. ครั้งนานมา มี-เข่นฆ่าล่มล้าง .. ชีพวางวาย O ในเรื่องราวบันทึกเมื่อนึกย้อน คือช่วงตอน .. สังคมเก่า-ล่มสลาย ศักดินาถอดทิ้ง .. ชีพหญิงชาย- ถูกเข่นฆ่าล้มตาย ที่ปลายวัน O ครั้งเป็นหน่อราชนั้น .. เคยผ่านข้าม- มาเยี่ยมเยือนเมืองสยาม, ในยามนั่น- ไทย-รัสเซียก้าวล้ำ .. ผูกสัมพันธ์ ผ่านสององค์ราชันย์ .. แต่นั้นมา O ด้วยไม่อาจปรับตนให้พ้นผ่าน เมื่อช่วงกาล .. สืบเนื่องไปเบื้องหน้า กรอบความคิดยุดยื้อ .. เยี่ยงขื่อคา กระชากขา .. ครอบคิดให้ติดกรง O ความเสื่อมแห่งอำนาจจึงพาดผ่าน เมื่อสังขารในจิตแผ่พิษสง มองว่าตนเยี่ยงหลักที่จักคง- อยู่ดำรงคู่โลกยากโยกคลอน O ไม่รับรู้รับฟังใครทั้งสิ้น ว่าแผ่นดินทุกข์เข็ญเกินเร้นซ่อน ผู้ลำบากตรากตรำ .. เคยพร่ำวอน- บัดนี้ – ค้อน, เคียว พร้อม – มาล้อมวัง ! O ที่สุด .. ความขื่นขมระงมศัพท์ ก็โหมแรงลงทับเพื่อดับหวัง ที่สุดแห่งอารมณ์ระทม .. ดัง ใดเล่าอาจหยุดยั้ง .. การพังทลาย ! O แล้วอารมณ์แรงโกรธก็โลดเหลิง- เป็นเปลวเพลิงลามล่วงขึ้นช่วงฉาย แผดเผา .. พฤติ, วาทกรรมแห่งน้ำลาย, ความบิดเบือนทั้งหลาย .. ที่ปลายวัน O พ่อแม่ลูก .. วงศ์กษัตริย์ .. เพียงหยัดร่าง เสียงปืนกลางห้องสลัว .. ก็รัวลั่น พร้อมเลือดสาด .. ร่างทรุด .. ลมหยุด .. พลัน- ที่ศักดินา .. ชนชั้น .. ล่ม – อันตรธาน ! O แล้ว .. สุดท้ายศักดิ์ศรีแห่งชีวิต- ก็ถูกปลิดร่วงลงสู่สงสาร อาจเหลือเพียง .. ความ, คำ .. เป็นตำนาน ให้กล่าวขานถึงบ้างในบางครั้ง O หากยอมรับปรับปรุง .. ก่อนยุ่งเหยิง คาวเลือดเจิ่งเนืองนอง .. ฤๅต้องหลั่ง ? เมื่ออัตตาปรุงตอบ .. ความชอบชัง- จึงย่อมฝังลงจิต .. จนติดตาย O ด้วยอำนาจจากไหน .. จึงได้สิทธิ์- ให้ชีวิตอื่นพยุง .. ความมุ่งหมาย ? กระนั้นสิทธิ์เดียวกันในบั้นปลาย- ไย .. ถูกเหนี่ยวทำลายจนวายวาง ? O ครั้งนั้นรูปโสภิตเจ้าคิดนึก ว่า-ตื้นลึกเรื่องราวที่กล่าวอ้าง มักเผยความจริงแท้ลงแผ่กาง เมื่ออำนาจขัดขวาง .. ถูกล้าง .. ลบ O เมื่ออำนาจคลุมแดน .. อย่างแน่นหนา แรงศรัทธาเชิดชู .. สุดรู้กลบ เสียงยกยอชื่นชมคอยสมทบ ย่อมตระหลบล้อมถิ่นทั้งดินแดน O กระทั่งเสียงทุกข์ทนของคนยาก เริ่มผ่านปากเงียบเฉย .. ที่เงยแหงน- ร่วมกับปวงภพชาติผู้ขาดแคลน- จากหมื่นแสนเป็นล้าน .. เหยียบผ่านเมือง O เสียงไพเราะดึงดีด .. สังคีตขับ ก็ล่มลับบริบท .. ถูกปลดเปลื้อง- ด้วยเสียงปืนแผดหนุน .. ความขุ่นเคือง- ของเชื่อเชื่อง .. ทั้งปวงกลางช่วงยาม O ทั้งน้ำตา .. หยาดเลือด .. ยากเหือดสาย เมื่อความตายเร่งรุด .. เกินหยุด-ห้าม กายยากแค้น, จิตทุกข์ .. ย่อมลุกลาม- เป็นไฟความโกรธแค้น .. ลวก - แผ่นดิน ! O เสียงไพเราะดึงดีด .. สังคีตกล่อม- ก็ล่มพร้อมทุรยศจนหมดสิ้น ลับล่มถ้วนราศี .. แห่งชีวิน- ด้วยเลือดรินหลั่งหยด .. จน – หมดตัว ! . . หัวข้อ: Re: O หอมกลิ่นร่ำ .. O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 13 มีนาคม 2014, 06:56:PM .. งานมงคล ..
O มโหรีปี่กลอง ร่วมฆ้องประโคม กระหึ่มโหมเสียงฝ่าพืดฟ้าหลัว ขณะใจรูปคราญ .. ซึ้งซ่านระรัว- กับแววหวานหยอกยั่ว .. อยู่ทั่วตา O ผ้านุ่งแดงเข้มอ่อน .. ห่มอ่อนน้อย ผมยาวย้อยเคลียไหล่ล้อใบหน้า เข็มขัด, กำไลทองผุดผ่องตา ต่างหูเพชรสูงค่า .. น้ำพร่าพราย O นวลวรรณาเกลี้ยงเกลา บนเยาวรูป ดวงตาวูบวับวามด้วยความหมาย ภาพในห้วงคำนึง .. เพียงหนึ่งชาย กับแววสายตาเห็น .. แสนเอ็นดู O ถึงฤกษ์ผานาที .. เหมาะดีพร้อม มงคลสวมคล้องค้อมกระหม่อมคู่ มือประคองน้ำสังข์รดพรั่งพรู พร้อมรูปตรูเจ้าคอยชม้อยชม้าย O สวยปีกผีเสื้อบินกลางถิ่นทุ่ง ขณะรุ้งทินกรเริ่มชอนฉาย ลำลมหอบอุ่นนักมาทักทาย แตะร่องรอยความหมายขึ้นว่ายวน O แดดใสแผ่นฟ้าครามในยามนี้ เหลื่อมแสงสีอบอุ่นแทนฝุ่นฝน เมฆขาวแทนมืดดำฟ้าคำรน วิหคบนแทนวิชชุที่คุไฟ O งามเงื่อนหางยูงฟ้าในป่าแดด ทอดลงแวดล้อมขวัญจนสั่นไหว สัมผัสแล้วอุ่นทั่วถึงหัวใจ ซ่านลงใส่ล้อมสิ้นจิตวิญญาณ O ระยับแดดเหลือบแล้วที่แววขน เข้าปลาบปนเนตรแก้วจนแววหวาน- นั้น .. เผยออกสำทับอยู่นับนาน จนสุดต้านเงื่อนบ่วงได้ล่วงพ้น O งามปีกผีเสื้อลายระบายป่า กระหยับทาแนวเถื่อนอยู่เกลื่อนกล่น ปีกแห่งรักพลิ้วพรายลอยว่ายวน ดั่งจำนนต่อหมายที่ว่ายเวียน O โลมแดดอุ่นทินกร .. ให้ร้อนผ่าว- ล่มอบอ้าวสำหรับช่วยปรับเปลี่ยน สำทับหอมหวานรส .. ลงบดเบียน- หัวใจเพียรพร่ำชู้ .. อย่ารู้คลาย O สวยปีกผีเสื้อบินล้อมถิ่นที่ ท่ามกลางเยื่อใยดีค่อยคลี่สาย ม้วนรัดล่ามอาลัยด้วยใจชาย ลงเงื่อนตายถวิลอยู่ แต่ผู้เดียว O สุรโลก .. ชลอลงก็คงใช่ แต่เมื่อใครหนึ่งพ้องรับข้องเกี่ยว เนตรนั้นปล่อยปรารมภ์..รอกลมเกลียว เสมอเหนี่ยวเพรงภพ .. บรรจบวง .. ชั่วฟ้าดินสลาย .. พศ.๒๕๓๗ O ไกลลิบระยิบช่วงบนสรวงนั้น มีใฝ่ฝันทุกหลืบร่วมสืบส่ง พร้อมแรงรักลึกล้ำเป็นจำนง- อย่างมั่นคงตรึงมั่นในสัญญา O หอมรสรื่นรวยริน..ของกลิ่นโมก รำบายโบกแผ่วเบา..รุมเร้าหา ลำเพาพักตร์นวลลออ..ก็คลอตา- ด้วยสัญญากุมกัก..สุดหักล้าง O ลิบลิบกระพริบช่วงแห่งปวงดาว ก็ดูราววิบไหว..แสนไกลห่าง- จากโลกหล้า, เปลื้องปรุงแสงรุ่งราง- คงอยู่ค้างฟ้าทะมื่นในคืนแรม O ลิบลิบดารดาษดวง..ในสรวงฟ้า เช่น..นัยน์ตาวามแสงเมื่อแต่งแต้ม- ด้วยรูปรอยแสนอุทธัจ..ระบัด..แกม- บนริ้วแก้มแต้มหมาย..รำบายความ O พร้อมแสงช่วงดวงดาว..เห็นวาววับ คล้ายเห็นแววระยิบระยับนั้น-พรับข้าม- คาบช่วงกาลผ่านนัยออกไหลลาม- พาอบอุ่นวาบหวาม..เข้าลาม..ลน O จึง-น้อมรับระยับช่วง..แห่งดวงดาว อันวาบวาวปลาบปลั่งอีกครั้งหน ความอ่อนหวานอ่อนไหวแห่งใจคน ราวโซ่ตรวนพันวน..เกินด้นดึง O ระทึกและสั่นไหว..อกใครหนอ- หลังเติมต่ออาลัยส่งไปถึง ร่วมครอบครองคุณค่าอันตราตรึง เสพหวานซึ้งซ้ำอยู่ไม่รู้เลือน O นึก-ระทึกวาบหวิวจนริ้วแก้ม- ราวเกลี่ยแกมเลือดฝาดเข้าปาดเปื้อน- เพื่ออยู่รอ-สายตา..ผ่านมาเยือน รอ-ด้วยใจสั่นสะเทื้อนสะทกสะท้าน O เลือดในอกผู้รอ..เมื่อหล่อเลี้ยง อบอุ่นย่อมคล้อยเคียง..ลำเลียงผ่าน ขัดเขินสักเพียงใด..หนอใจคราญ จักซึ้งซ่านเพียงไหน..หนอใจคน O ชั่วเคลิ้มคล้อยคิดตาม..กับความว่า- อาจ-วุ่นว้านัยศัพท์พาสับสน- บางความหมายหยิบยก..อาจวก-วน เพื่อแฝงนัยให้คนวก-วนคิด O ชั่วเคลิ้มคิดคล้อยตาม..ถ้อยความสื่อ ตรองเถิดหรือ..ความปวงจากดวงจิต- ล้วนเร่งรอบอาลัย..มาใกล้ชิด เพื่อถือสิทธิ์ปักปลูกความผูกพัน O แม้นหนทางขวางกั้น..ด้วยอรรณพ อาจบรรจบด้วยใคร..แต่ในฝัน ยังยอมอยู่เปล่าเปลี่ยว..ใต้เสี้ยวจันทร์ ด้วยใจหนึ่งใจนั้น..ดื้อรั้น-คอย O ดึกสงัดพราวพร่าง..น้ำค้างหยด ลมตอบบท..แขเปลื้องแสงเงื่องหงอย เมื่อดวงจิตพลั้งเผลอ..จนเหม่อลอย- ห่วงละห้อยถึงใคร..ผู้ไกลตา O เหมือนฝัน..ฝันว่าฝน..นั้นหล่นสาย เนื้อ..อุ่นอาย, อิงแอบ..เข้าแนบหา นึก - แม้นโลกแหลกยับไปกับตา ยอม - ชีวาดับวาง..กับร่างนั้น ! จบบริบูรณ์ หัวข้อ: Re: O หอมกลิ่นร่ำ .. O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 04 พฤษภาคม 2014, 09:22:PM http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=05-2013&date=17&group=11&gblog=447 (http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=05-2013&date=17&group=11&gblog=447)
O ฝนเดือนหก .. O O หยาดมาเถิดฝุ่นฝน .. สีหม่นเทา- ลงปกคลุมรุ่งเช้าให้เหงาหงอย ปีกเบาบางเคยขยับ .. ก็ลับรอย ท่ามกลางน้ำฟ้าย้อย .. ลงเยี่ยมพื้น O ร่วงหยดไหลหล่นล่าง .. หยาดพร่างพร้อย ลงห่มเกสรสร้อยให้ช้อย-ตื่น รับฉ่ำเย็นถ้วนตอนที่ย้อนคืน ยามเสียงฟ้าครั่นครื้นอยู่อลเวง O ไร้ปีกผีเสื้อบางสะบัดโบก กลางฝนโชกฟ้าวาบ .. แสงปลาบเปล่ง อติรูปในฝัน .. ก็บรรเลง- สังคีตเพลงยั่วเย้า .. ในเช้าวัน O อ้อยอิ่งกลางเม็ดฝนที่หล่นหยาด ลดามาศก็ช้อยช่อร่ำรอหัน- เรียวกลีบรับน้ำสรวงหล่นร่วงบรร- โลมความชื่นฉ่ำนั้น .. เช้าวันนี้ O เจิ่งนองแผ่นพื้นโลกจนโชก-ชุ่ม น้ำฟ้าร่วงผ่านพุ่ม .. โกสุมสี ปีกล้อลมรำเพย .. อันเคยมี จำปลีกลี้ฝุ่นฝนสีหม่นเทา O ไหนเล่าดวงจำรูญ .. ในพู้นที่- พร้อมรังสีเปลวแดด .. เคยแผดเผา ฤๅ-บัดนี้ลับล่มใต้ร่มเงา- ของเงียบเหงาเมฆทึมอันครึ้มมัว O มืดอับพยับฝน .. เมฆหม่นแต้ม ราวจะแย้มยั่วทาให้ฟ้าหลัว งามรูปแพงทองเอย .. ฤๅเคยกลัว- ความสั่นเร้าเร่งรัวของหัวใจ O มืดอับพยับฝน .. เมฆหม่น-แกม กลับแต่งแต้มรอบระยับขึ้นขับไข ร้อยรวมความมั่นหมายจากภายใน- ด้วยสายใยอาวรณ์ .. แสนอ่อนโยน O พาตรู่เช้าลอยล่อง .. ละอองทิพ ความ-คำแผ่วกระซิบ .. สู่ลิบโพ้น อบอุ่นแห่งความหมาย .. ค่อยถ่ายโอน- เข้าหักโค่นเปลี่ยวเหงาแห่งเช้าวัน O ฝุ่นฝนสีหม่นเทา .. แห่งเช้ายาม จึงเติมเต็มงดงาม .. เชื่อมความฝัน ปีกผีเสื้อโบกบินกลางถิ่นพรรณ ค่อยโบกขวัญฝากไว้ .. ที่ในทรวง O หยาดน้ำฟ้า .. หยดย้อยเป็นสร้อยสาย พร้อมความหมายในคน .. นั้นหล่นร่วง แววนัยน์ตาวาบหวัง, ใจทั้งดวง- ก็ผ่านช่วงหม่นเทา .. แห่งเช้าวัน O หยาดน้ำค่อยสิ้นหยด, เหลือบทบาท- พิสวาดิรายล้อมเข้ากล่อมขวัญ ความนัยรู้รับรอง .. เมื่อพ้องกัน ย่อมซาบซึ้งผูกพัน .. นิรันดร O สิ้นหยดน้ำร่วงหยาด, สองชาติผู้- ร่วมตอบรับนัยชู้ .. เกินรู้ถอน แรงถวิลเสน่หา, รอบอาวรณ์- ก็แทรกตอนจำนง .. เข้าบงการ O ร้างหยดและไร้หยาด, ฝนขาดช่วง- หากความหวง-ห่วงใย .. ยิ่งไพศาล ลมเอย..ฝากเย็นรื่นของชื่นบาน ห่มดวงมานผู้ถวิล .. อย่าสิ้นเลย O ร้างหยดจนไร้หยาด .. ฝนขาดเม็ด เหลือรุ้งเพชรรูปพลอยที่ค่อยเผย- รอวันทอดทอสิทธิ์ลงชิดเชย และสายลมรำเพยมาแผ่วพาน O เพื่อจะไหวบทกระเพื่อมเป็นเหลื่อมรับ ไว้ประดับธรณินทั่วถิ่นฐาน เช่นแววตาจบจูบด้วยรูปคราญ สั่นสะท้านสะเทือนทั่วทั้งหัวใจ - O – ที่จักไหวส่ายรัว .. เพียงชั่วยาม- ที่รูปนามรูปนั้น .. คอยสั่นไหว- ยั่วหยอกความแหนหวง .. ความห่วงใย เพรียกอาลัยวาดหวังอยู่ทั้งเป็น O สิ้นแล้วหรือ .. ฝุ่นฝนสีหม่นเทา เลื่อนรูปเงาพาโลกพ้นโศกเข็ญ หรือ-เพียงรอถมเทียบความเยียบเย็น- เข้าบีบเค้นอาลัย .. แห่งใจนี้ O ไร้ปีกผีเสื้อบางสะบัดโบก- กลางแหล่งโลก-บินบ่ายอวดลายสี ปีกเล่นลมรำเพยอันเคยมี ราวปลีกลี้ลับสิ้นจากดินแดน O เหลือแต่ปีกอาวรณ์เวียนว่อนอยู่ ด้วยแรงชู้ในทรวง, ด้วยหวงแหน- รูปนามอันปรากฎเข้าทดแทน- ติดตรึงแน่นในอก .. เกินยกแล้ว ! |