พิมพ์หน้านี้ - ๑๑ ดวงไฟกระสือ ๑๑

ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน

บทประพันธ์กลอนและบทกวีเพราะๆ => แต่งนิยายและไดอารี (ห้องใหม่) => ข้อความที่เริ่มโดย: เริงละลม ระเริงชล ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2014, 04:10:PM



หัวข้อ: ๑๑ ดวงไฟกระสือ ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: เริงละลม ระเริงชล ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2014, 04:10:PM
 


  เมื่อฉันเปิดประเด็นเรื่อง ลี้ลับ เหลือเชือไปแล้ว งั้นฉันก็ขอเปิดประเด็น

อีกสักเรื่องแล้วกันค่ะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องคุณตาฉัน ที่เคยนำเสนอ

มาแล้ว แต่เป็นเรื่องของฉันเมื่อสมัยเป็นวัยรุ่น ขอเกริ่นนำสักหน่อยก่อน ก่อนจะเข้า

ประเด็นเรื่องใหม่

ผี คงไม่มีใครอยากเจอโดยเฉพราะคนกลัวผี ส่วนคนเก่งคนกล้าที่อยากเจอผีแต่ก็ไม่เคยเห็นสักที


มันก็แปลกดี เพราะคนที่เจอผีส่วนใหญ่ เป็นคนประเภทกลัวผีขึ้นสมอง(อย่างฉันเป็นต้น)


ผี คืออะไรใน...วิทยาศาตร์


หากจะถามกันว่ามีผีหรือไม่ ถ้ายึดเอาตามความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์แล้ว จะต้องบอกว่า มี หากมีอยู่แต่ในใจของแต่ละคนเท่านั้น

คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยคอลเลจ ที่กรุงลอนดอน ได้พบในการศึกษาเรื่องนี้ว่า เมื่อคนเราตกอยู่ ในบริเวณที่ไม่ค่อยจะมีแสงสว่างนัก สมองอาจถูกหลอกให้เห็นโน่นเห็นนี่ ซึ่งไม่ได้มีอยู่จริงได้ “สิ่งแวดล้อมในที่เราอยู่นับว่าสำคัญมาก บางทีมันอาจจะข่มหลักฐานตามที่ตาเราเห็นไปได้ และอาจจะทำให้เราทึกทักว่าเราเห็นมัน”หนังสือพิมพ์รายวัน “เดอะ เดลี่ เทเลกราฟ” ฉบับใหญ่ของอังกฤษ รายงานข่าวต่อไปว่า ศาสตราจารย์ หลี่ เจาปิง หัวหน้านักวิจัย บอกให้รู้ว่า พวกนักมายากลได้ล่วงรู้ถึงปรากฏการณ์ อันนี้มาหลายปีแล้ว เมื่อเขาโยนลูกบอลขึ้นไปในอากาศ ตามด้วยลูกที่ 2 และ 3 ครั้นแล้วลูกที่สามจะเกิดหายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่อันที่จริงแล้ว บางทีลูกที่ 3 ไม่มีจริงเลย หากแต่ สมองของเราถูกสิ่งแวดล้อมหลอกเอา กลับบอกตัว เราว่าให้เรานึกว่าเห็นเขาโยนลูกทีละลูก รวมเป็น 3 ลูกจริง

         เหตุที่ตาเราฝาด เห็นอสุรกาย ปรากฏออกมาจากเงามืด ก็ทำนองเดียวกันนี้แหละ เพราะที่ซึ่งเป็นเงามืดมองเห็นไม่ค่อยชัดอยู่แล้ว ดังนั้น จึงมักทำให้นึกวาดภาพต่อเติมให้เห็นเป็นตัวเป็นตนไป...

         อย่างไรก็ตาม ผีในทัศนะของนักวิทยาศาสตร์ไทยเช่น ศ.ดร.นพ.เทพพนม เมืองแมน กล่าวว่า ผีมีจริงและแพ้คลื่นโทรศัพท์มือถือ โดยกล่าวอ้างถึงการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษว่าผีเป็นพลังงานในลักษณะที่คล้ายพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของโทรศัพท์มือถือ ซึ่งปัจจุบันนี้การใช้โทรศัพท์มือถือเป็นไปอย่างแพร่หลายมากขึ้น ทำให้ผีซึ่งเป็นพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคลื่นสั้นปรากฏตัวน้อยลง เพราะไหลไปรวมในบริเวณที่ ๆ มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าน้อย สอดคล้องกับความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ไทยอีกคน คือ รศ.ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล ว่า ผีเป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง แต่การที่ใช้โทรศัพท์มากขึ้นนั้นไม่ถือว่าเป็นการไล่ผี แต่เป็นการถ่ายเทคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปยังอีกจุดหนึ่งมากกว่า และในทางกลับกันการใช้มือถือซึ่งมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามาก อาจทำให้เห็นภาพต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งไม่คิดว่า เป็นผีเพราะมนุษย์มีความรู้ในการพิจารณา การถ่ายภาพหรือวิดีโอแล้วมีภาพหรือเงาที่อธิบายไม่ได้ปรากฏนั้น ในอนาคตก็จะเห็นมากขึ้น เพราะวิทยาการล้ำหน้า เครื่องถ่ายภาพสามารถจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้มา
       
        ได้มีนักวิทยาศาสตร์ชื่อ โดนัลด์ จี คาร์เพนเตอร์ (Dr. Donald G. Carpenter) ศึกษาสิ่งที่เรียกว่าผีจากรายงานทั่วโลกและได้ข้อสรุปทางฟิสิกส์ต่าง ๆ ดังนี้


นิยามของคำว่าผี

 1. ผีอยู่ภายใต้กฏของฟิสิกส์

 2. ผีไม่ใช่เรื่องมายากล ไม่ใช่ปาฎิหาริย์ และไม่ใช้เรื่องนอกเหนือกฎธรรมชาติข้อใด ๆ ทั้งสิ้น

 3. ในการปรากฏกายของผีโดยเฉลี่ยแล้ว "ร่าง" ของผีจะกินเนื้อที่เป็นปริมาณ ประมาณ 0.07 ลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นปริมาตรเฉลี่ยเท่ากับคนธรรมดาที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 70 กิโลกรัม(  ข้อมูลต่างๆสืบค้นจาก Internet  )

ฉันขอเอาข้อมูล ทางวิทยาศาสตร์มาอ้างอิงสักหน่อยนะค่ะ


มาเริ่มกันเลยค่ะ.....
 ฝั่ง ธนเมื่อราวสัก30-40 ปีก่อน ยังไม่เจริญเท่าสมัยนื้ บ้านเรือน รถรา ก็ยังไม่มากเหมือนปัจจุบันนี้

มีแต่สวน มะพร้าว สวนหมาก และผักผลไม้นานาชนิดแล้วแต่เจ้าของสวนจะนำมาปลูกกัน บ้านของตาฉันก็ปลูกสร้างอยู่ที่นี้เหมือน

กัน โดยการ เช่าที่ เจ้าของสวนรายหนึ่ง ปลูกบ้านอาศัยอยู่กันมาตลอด เมื่อตาฉันเสียชีวิตไปแล้วพวกเราก็ยังอาศัยอยู่ที่นั้นเหมือนเดิม

บ้านฉันเป็นบ้านไม้ทั้งหลังใต้ถุนสูง ที่ต้องใต้ถุนสูงเพราะปลูกอยู่บนท้องร่องสวนจะมีน้ำขังอยู่ตลอด ห้องน้ำก็ทำด้วยไม้และสังกะสีอยู๋ในบ้าน

สมัยก่อนที่บ้านฉันห้องน้ำยังใช้เป็น "ส้วมซึม" กันอยู่ ที่ฉันต้องอธิบายอย่างละเอียดเพราะผีที่ฉันเจอมันเกี่ยวข้องกับห้องน้ำ

สมัยก่อนถนนหนทางก็ยังไม่มีไฟฟ้าตามทางเปิดสว่างเมื่อสมัยนี้ พอคกค่ำก็จะอยู่บ้านดูโทรทัศน์หรือไม่ก็เข้านอนกันแต่หัวค่ำและยิ่งบ้าน

อยู่ตามเลือกสวนด้วยแล้วมันเงียบสนิทดี จริง จริง คืนนี้ฉันก็เข้านอนตามปกติไม่ดึกมาก ฉันมาสะดุ้งตื่นเมื่อมีอาการปวดห้องน้ำจะเรียกน้องไปเป็น

เพื่อนก็ปลุกอยู่นานก็ไม่ตื่น อาการปวดท้องก็มากขึ้นเลยลุกไปเข้าห้องน้ำคนเดียว ฉันเปิดไฟในห้องน้ำเป็นหลอดไฟแบบปิงปองแสงไม่สว่างมากนัก

มีสีเหลืองนวลๆๆ ฉันขึ้นนั่งบนโถสัวมเพื่อทำธุระส่วนตัว ตาก็มองลงมาที่พื้นห้องน้ำ ที่ทำด้วยไม้กระดานแผ่นใหญ่แต่ละแผ่นก็จะห่างจากกันเป็นช่องยาวๆๆพอประมาณ

จนมองเห็นพื้นข้างล่างได้ คุณยายบอกว่าพื้นทำด้วยไม้กระดานจะถูทำความสะอาดง่ายแค่แปรงลวดก็เอาอยู่เวลาราดน้ำก็ผ่านช่องได้เร็วน้ำไม่ขัง แต่ฉันไม่ค่อยชอบโดยเฉพาะ

เวลาเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนนี้แหละ นั่งทำธุระจนเสร็จแล้วกำลังจะลุกขึ้น ตาของฉันก็มองที่ช่องพื้นไม้กระดาน ฉันเห็นลำแสงสีเขียวๆๆพุ่งขึ้นมาตามช่องเหมือนเวลาที่เราส่องไฟฉาย

แต่ที่ฉันเห็นลำแสงนั้นมันไม่อยู่กับที เคลื่อนไปมาตลอด และแสงมันก็วูบๆๆวาบๆๆ ดับๆๆหายๆๆ ตอนนั่นฉันนั่งตัวแข็งเพราะฉันไม่คิดมาว่าจะเป็นคน คนที่ไหนจะมาอยู่ใต้ถุน

ใต้ถุนมันเป็นท้องร่องทั้งแฉะทั้งลื่น ถ้าจะเป็นคนเพื่อจะมาแอบดูมันต้องได้ยินเสียงอะไรบ้างและคงไม่ต้องส่องไฟหรอก ฉันคิดอยู่ว่าจะทำไงดีวิ่งออกไปเลยดีไหม เจ้าแสงไฟนั้นก็ค่อย

เคลื่อนออกไปเพราะแสงมันเริ่มเลื่อนไปด้านหลัง ฉันลุกขึ้นแล้วค่อยลงมาจากโถตอนนั้นรู้สึกขาจะสั่นๆๆ(คงคิดว่าเหน็บกินละซิ) ห้องน้ำบ้านฉันไม่ใหญ่มากพอลงจากโถถึงพื้นถัดไป

หน่อยก็เป็นประตูห้องน้ำ พอพ้นประตูขายังสั่นๆๆ ฉันกำลังคิดว่าเจ้าลำแสงนั้นมันคืออะไรแล้วความคิดหนึ่งมันก็แว็บเข้ามา"ผีกระสือ" ความกลัวกับความอยากรู้อยากเห็นมันไม่เข้าใคร

ออกใครจริง จริง กลัวก็กลัว อยากรู้อยากเห็นก็มาก ที่บ้านฉันจะมีหน้าต่างหลายบาน คนเมื่อก่อนจะสร้างบ้านต้องมีหน้าต่างหลายบานเพราะจะทำให้บ้านสว่างและเวลาหน้าร้อนอากาศจะ

ไม่ร้อนมากเพราะมีลมพัดผ่านตลอดเวลา  บ้านฉันก็เช่นกัน ถัดจากห้องน้ำก็มีหน้าต่างอยู่ สองบานใหญ่ ฉันตัดสินใจเป็นไงก็เป็นกัน ฉันค่อยๆๆแง้มหน้าต่างออกไม่กว้างนักพอที่ตาจะมอง

เห็น อย่างที่ฉันบอกบ้านฉันอยู่ในสวนถึงจะมืดก็บอกได้ว่ามีต้นอะไรอยู่หลังบ้านตรงต้นชมพูฉันเห็นดวงไฟกลมๆๆสีเขียวๆๆใหญ่เท่าลูกมะพร้าวย่อมๆลอยอยู่เหนือต้นขมพูแสงมันวูบๆๆ

วาบๆๆ แต่ฉันไม่เห็นหน้าคนหรือไส้เหมือนดูในโทรทัศน์เลยเห็นแสงวูบๆๆวาบๆๆสีเขียวๆๆเท่านั้นฉันจำละครโทรทัศน์เรื่อง"กระสือ"ได้ กระสือยายสายไม่ใครไม่รู้จักตอนนั้นดังมาก

แต่สิ่งที่ฉันเห็นหล่ะ เจ้าดวงไฟกลมๆๆนั้นมันลอยอยู่ตรงชมพูสักพักแล้วมันก็ลอยไปฉันมองจนลับทิวต้นมะพร้าวหายไปกลับความมืด


นี่ คือ ผีที่ฉันเห็นสมัยฉันยังรุ่นๆๆอยู่ มันอาจจะเหลือเชื่อกับคนที่ไม่เคยเจอแต่ฉันเจอกับตัวเองเห็นกับตาตัวเองไม่เชื่อคงไม่ได้จริงไหมค่ะ......