หัวข้อ: นานเท่าไหร่แล้ว เริ่มหัวข้อโดย: ลิขิตฟ้า ที่ 14 กันยายน 2013, 08:13:PM นานเท่าไหร่แล้ว.... นานเท่าไหร่แล้ว ไม่อาจรู้ได้เลย นับจากวินาทีที่ฉันต้องเสียเธอไปนาฬิกาของฉันเหมือนหยุดเดินนับแต่วินาทีนั้น สัมผัสการรับรู้ของหัวใจเลือนหายไป นัยน์ตาฉันมืดบอดมองเห็นแต่ความมืดมน ราวกับว่าฉันยืนอยู่บนโลกที่ไร้ซึ่งดวงอาทิตย์ ไร้ซึ่งแสงจันทร์ไม่มีแล้วทิวาหรือราตรี ปัจจุบันขณะนี้ฉันมีเพียงอดีตเป็นเพื่อนปลอบใจในยามเศร้ายามเหงา ยามทุกข์ท้อทรมาน ภาพเธออยู่ในทุกๆความคิด ใบหน้าท่าทาง รอยยิ้มเสียงหัวเราะยังดังกังวานไม่เคยขาด จู่ๆฉันก็น้ำตาคลอ ใบหน้ากลับเปื้อนยิ้ม ความทรงจำของเราที่ฉันได้กักเก็บมันไว้ในมุมของฉัน เป็นความทรงจำที่มีแต่เธอเสมอ สุดที่รัก นานเท่าไหร่แล้วกับการไม่มีเธอ กับความหลังของเราที่ฉันไม่อาจลืมเลือนต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ทำไมถึงลงเอยอย่างนี้ได้ เกิดคำถามขึ้นมามากมายให้ฉันคอยหาคำตอบมานานหลายปี บางครั้งฉันก็รู้สึกเบื่อและเหนื่อย ฉันพยายามรักษาแผลใจอันเจ็บปวดรวดร้าว ด้วยการทำสิ่งต่างๆในแต่ละวัน เลิกคิด เลิกพูด เลิกทำ ในสิ่งที่ตอกย้ำซ้ำเติม เพิ่มความระลึกถึงเธอ แม้ในตอนนี้ฉันยังไม่สามารถตอบตัวเองเองได้ว่า เลิกตรอมใจจากการพลัดพรากดวงใจอันเป็นที่รักได้แล้ว ทว่าฉันก็สามารถยอมรับความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเราได้บ้าง อีกไม่นานทุกอย่างคงจะเคลื่อนผ่านไป นานเท่าไรแล้วฉันไม่เคยจำ ความสำคัญคือ เมื่อฉันลืมเธอ เวลาก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป ลิขิตฟ้า หัวข้อ: Re: นานเท่าไหร่แล้ว เริ่มหัวข้อโดย: เทโพ ที่ 15 พฤศจิกายน 2013, 01:27:PM นานแล้วที่ผมไม่ได้ใส่รองเท้า....
....รองเท้าพรากฝ่าตีนผมออกจากแผ่นดินโลก ที่จริงตีนผมก็ไม่ได้เหมาะกับทุกสถานะหรอกครับ เวลาไม่ใส่รองเท้าตีนผมเดินไปได้แค่บางพื้นที่ ..หรือว่าวิวัฒนาการจากบรรพชนผม เปลี่ยนให้คนทั้งโลก มีฝ่าตีนที่บางกว่าหมา(แต่ผมอาจมีใบหน้าที่หนากว่าควาย).... ....ชีวิตเหนือฝ่าตีนเป็นชีวิตที่ชอบแสวงหา ..หน้าผมไม่ได้หล่ออะไร แต่ใจผมแม่งไม่เคยอยู่นิ่งๆมาก่อนเลย ..ก็ใจนี่แหละที่บังคับให้ตีนผมไม่เคยหยุดเดิน.. ..ที่จริงผมว่าผมไม่ได้ใช้ตีนเดิน ผมใช้ใจเดินมากกว่า.... ....ผมตัดสินใจ "ไม่ใส่รองเท้า" มาตั้งแต่สี่ปีก่อน ผมแค่อยากลองดูว่า เวลาเดินตีนเปล่า มันจะเดินได้ไกลสักแค่ไหน.. ..แล้วผมก็เริ่มเดินทาง.... ....ผมเที่ยวประเทศไทยโดยลำพังทุกครั้ง ..เหนือก็เคยไป ใต้ก็เคยมา.... ....จนกระทั่งตีน พาตัวผมไปเจอกับนางฟ้า.... เธอเป็นช่างถ่ายภาพที่สตูดิโอเล็กๆที่พังงา ..ผมว่าเธอถ่ายภาพสวย ..แต่พอผมกลับมามองในสายตาเธอ ภาพที่เธอถ่ายก็กลายเป็นความงามระดับขี้ตีนไปเลย....ใบหน้าเธองามอย่างที่ไม่มีอักษรใดบรรยายครบ สายตาเหมือนจะหยดลงท่วมทั้งโลก....เธอน่ารัก ขี้เล่น ..และไม่รังเกียจที่ผมเดินตีนเปล่า.... ....ผมว่าผมรักเธอ.... ความรักคืออะไรกันหนอ ..เวลารัก ตีนผมจะไม่รู้ตัวว่ามันกำลังเดินไปที่ไหน มันรู้แค่ว่าเดินอยู่กับใครเท่านั้น.... เธอถามผมว่า ทำไมไม่ใส่รองเท้า ..ผมแค่บอกเธอว่า "ผมอยากเหยียบโลกของผมด้วยตีนตัวเอง ไม่ใช่เหยียบผ่านแผ่นยาง".. ..เธอคงชอบผมที่ประโยคนั้น....แม้เธอจะไม่รังเกียจที่ผมไม่ใส่รองเท้า แต่เธอยังเรียกร้องให้ผมใส่รองเท้าเสียที คนอื่นเห็นจะมองไม่ดีเอา.... ผมสัญญากับเธอว่า "แต่งงานกันเมื่อไหร่ ใส่ชัวร์" เธอหัวเราะ.... ....ความรักคืออะไรหนอ....เรารักกันนานเหมือนนิรันดร์..กำหนดแต่งงานเป็นวันจันทร์ก่อน ..ที่จริงเราน่าจะได้แต่งงานกันมาอาทิตย์หนึ่งแล้ว ..ตอนนี้ผมน่าจะได้ใส่รองเท้าแล้ว.... ....แต่โลกเรามักกวนตีนเสมอ.. ผมเสือกติดเชื้อที่ส้นตีนขวา ต้องตัดขาทิ้ง ..ตั้งนานก็ไม่มีวี่แวว ต้องมาตัดขาวันแต่งงานตัวเอง.... ....ที่น่าเสียดายคือ ....ผมยังไม่มีโอกาสได้ใส่รองเท้าเลย! ที่รักของผมก็อยู่ที่ห้องผ่าตัด..เธอร้องไห้....เธอบอกว่าเธอไม่รังเกียจที่ผมต้องตัดเท้าไป กลายเป็นพิการ และจะยังคงแต่งกับผมเมื่อผมออกจากโรง'บาล.... นี่ผมประทับใจเลย.... ที่จริงผมก็เศร้านะ ..ตีนที่อยู่กันมาตั้งนานนม ไปไหนมาไหนด้วยกัน วันนี้ต้องมาโดนตัดทิ้ง.... ....ผมถามเธอไปด้วยรอยยิ้มกวนๆ "นี่เธอร้องไห้ทำส้นตีนอะไรครับ๕๕".... ..เธอเกือบยิ้มได้แล้วเชียว.... แต่ก็ร้องไห้ต่อ ..ผมไม่รู้จะทำไงดี....แค่อยากให้เธอยิ้ม.... ..ในคราบน้ำตา เธอถามผม "แล้วนพไม่เสียดายเหรอ เท้าของนพจะพาไปไหนต่อไหนไม่ได้อีกแล้วนะ?".... เธอขอบตาแดงก่ำ.... ....ผมมองตาคู่งามของเธอที่กำลังเปียกน้ำตา.... "ก็แค่สบายขึ้น..ไม่ต้องเดินเอง มีคนเดินให้ไง" ....เธอยิ้มออกแล้ว.... ....ผมว่าผมยอมขาขาด แต่มีคนมาคอยเดินข้างๆทุกๆที่ ดีกว่าที่ขาครบ แต่ต้องเดินอยู่คนเดียว.... .. ....ทุกวันนี้ผมไม่ได้ใส่รองเท้าอีก....และไม่ว่ารองเท้าหรือแม้แต่ตีนผมก็ไม่สามารถพรากผมจากแผ่นดินโลกนี้ได้อีกแล้ว.... .. .. .. อิสระที่แท้จริงคืออะไรหนอ.... การไม่ใส่รองเท้า.... การท่องเที่ยวคนเดียว.... .... หรือแท้จริงมันเป็นเพียงการที่ลืมพื้นที่โลกไป....แล้วใช้ใจเดินไปกับคนที่เรารักแทน..ผมว่ามันเดินได้ไกลกว่าใช้ตีนแน่นอน.... ....ใช่ครับ ผมเห็นเธอยิ้มออกแล้ว.... ..เทโพ.. หัวข้อ: Re: นานเท่าไหร่แล้ว เริ่มหัวข้อโดย: เทโพ ที่ 15 พฤศจิกายน 2013, 04:01:PM มีตำนานเกี่ยวกับเทพเจ้าแห่งความสุขแฝงตัวอยู่ในหุบเขาอันไกลโพ้น
พระราชาผู้หนึ่งได้ยินตำนานนี้ ถึงกับสั่งให้ทหารของพระองค์เดินทางไปเชิญเทพเจ้าองค์นี้มา ทหารของพระองค์สืบเสาะไปทุกขุนเขา กลับไม่พบแม้แต่เงาของผู้ที่มีทีท่าว่าจะเป็นเทพเจ้าแห่งความสุขสักคนเดียว เวลาผ่านไปสิบปี ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบเทพเจ้าเลย พระราชาทรงกริ้วมาก รับสั่งให้คนในวังออกไปให้หมด พระองค์กริ้วถึงที่สุดและไม่อยากพูดอะไรกับใครทั้งสิ้น . . ผ่านไปสิบวันกับการอยู่คนเดียว ..และแล้วก็มีข่าวจามทหารคนสนิทว่า เทพเจ้าแห่งความสุขปรากฏตัวแล้ว บริเวนภูเขาหลังราชวังนั่นเอง ได้ยินดังนั้นพระองค์จึงรีบแต่งพระวรกาย เดินทางไปยังภูเขาหลังวัง พระองค์ไม่เคยเดินทางไปภูเขานี้เลย แม้จะอยู่ใกล้วัง การเดินทางเพียงคนเดียวช่างยากเย็น รู้ดังนั้น พระองค์ทรงเรียกคนสนิททั้งหลาย ญาติมิตร และชาววังที่เคยอยู่ร่วมกันมาร่วมเดินทางด้วย มีอะไรจะได้ช่วยกันได้ .. เวลาผ่านไป ..เวลามักผ่านไปเสมอ .. .. สิบวัน.. พระองค์ก็ยังไม่ทรงเจอเทพเจ้าแต่อย่างใดเลย ทว่า การเดินทางร่วมกับคนที่พระองค์รัก ช่วยขจัดความทุกข์ของการอยู่คนเดียวไม่น้อย .. ทหารคนสนิทวิ่งมารายงานพระราชาว่า เทพเจ้าแห่งความสุขมารอพระองค์ที่พระราชวังเรียบร้อยแล้ว ด้วยความปีติ พระองค์ พร้อมทั้งบรรดาผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ตามพระองค์กลับสู่พระราชวัง .. แต่เทพเจ้าแห่งความสุขไม่อาจรอใครนานๆได้ แม้แต่พระราชา ก็ไม่อาจรอได้ เทพเจ้ากลับไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงกระจกบานใหญ่บานหนึ่ง พร้อมกับจดหมายฉบับหนึ่ง ใจความว่า "จากเทพเจ้าแห่งความสุข ถึง พระราชา ข้าพอจ้าทิ้งกระจกไว้ให้ื่านหนึ่งบาน ต้องการบอกท่านว่า คนที่อยู่ในกระจกนั้นเอง แท้จริงคือผู้สรร้างความสุข ไม่ใช่ข้า" พระราชาหันพระพักตร์ไปมองกระจกอีกครั้ง เป็นกระจกเงา พบเพียงพระองค์เองที่ยืนจ้องตอบอยู่ในกระจก พลันพระองค์ก็เข้าใจ ความสุขของคนหาได้อยู่ที่ภายนอกไม่ แต่ความสุขเกิดจากภายใน เกิดขึ้นต่อเมื่อเราอยู่กับคนที่เรารัก ใช้เวลาร่วมกับคนที่เรารักให้นานพอ .. เทพเจ้าแห่งความสุขไม่ใช่ใครอื่น ก็คนรอบข้างของคุณนั่นแหละ.. .. |