หัวข้อ: ...มาสนุกกับการแต่งกาพย์ฉบัง ๑๖ กันไหม... เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 11 พฤษภาคม 2013, 07:52:PM ดอกดินฝันของชาวดิน
ข้าวเขียวแยงยอดเปรียว แยงฟ้าอวดเขียว เขียวหญ้าแยงใบแกมพรม เถาเลื้อยแย่งแซมประสม เลื้อยรกเขียวห่ม พฤกษ์ดินเลื้อยปรุงใจนา แย่งยืนแพรกดินข้าวหญ้า แข่งยอดชูฟ้า แบ่งระบัดระเนนไหว อ้อแขมเสียดยอดแซมใบ พงเขียวเสียดไสว อาศัยเสียดบึงฉ่ำนอง มวลหมู่สกุณาเริงร้อง สำเนียงขานพร้อง รื่นสนาน-คอรัส-สกุณี นาทุ่งผลัดฝนน้ำดี ผัดผิวธรณี พฤกษ์ใบผลัดเขียวปรกทุ่ง ข้าวเขียวผัดแป้งดินปรุง ผลัดงามอำรุง ชาวดินผลัดฝันข้าวรวง แอบหวังวาดฤดีดวง หน้าฝนวาดล่วง ดินฉ่ำวาดชุ่มเจือจุน วอนเว้าเอกองค์วิรุณ เมตตาเกื้อหนุน โปรยฝนฉ่ำอุ้มผืนนา พอข้าวเฒ่ารวงเต็มตา ค่อยจรอำลา เสกฝนห่างหนฟ้าไกล ข้าวเขียวโบกยอดไหวไหว โบกรวงหทัย โบกใจฝันเกี่ยวดอกดิน บำเรอชุบดอกชีวิน ดอกหนี้ล้างสิ้น ดอกดินค้ำชูชีวี ชาวดินหวังดอกดินดี หวังประสามี ผ่านปีไร้หนี้รุงรัง มิหวังร่ำรวยมากคั่ง แต่พอประทัง หาอยู่หากินเลี้ยงตน มิฉ้อคิดชั่วร้ายฉล เฉกทุรชน ปอกปลิ้นเกลือกเสพอาจมฯ ***ขออภัยแฟนานุแฟน ท่อนท้ายๆ ที่หายไปผมได้ตัดออกเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายไม่ยุ่งการเมืองของเว็บฯ ใครอยากอ่านบทกวีของผมแบบเต็มๆ เชิญซื้อหนังสือกวีนิพนธ์..............(กลัวเสียมารยาทหาว่าโฆษณาแฝง) หรือไม่ก็ติดตามคอลัมน์กวีนิพนธ์ของผมเขียนประจำที่นิตยสาร............(กลัวโฆษณาแฝงเช่นกัน) สำหรับใครที่เข้ามาอ่านทีหลังเนื้อหาประมาณนี้ก็จะน่าสื่อความหมายได้ครบถ้วนนะครับ สนอง เสาทอง 11 พ.ค. 56 หัวข้อ: Re: ...มาสนุกกับการแต่งกาพย์ฉบัง ๑๖ กันไหม... เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 12 พฤษภาคม 2013, 11:56:AM วิมานรังหนู
(มิขังขึงไฟสรรค์ศิลป์) วิมานรังหนูรกเรื้อ อยู่พอเหลือเฟือ ล้นเกินใช้สอยถ้วนสิ่ง หลบนอนเลื้อยกายพักพิง เอมใจอุ่นอิง หนักเหนื่อยการใดปลดปลง ร้ายสิ่งมิค้างคาคง เก็บมาพะวง พลุ่งจิตคลุ้งใจเร้ารุม สงบใจนิ่งกายสุขุม มิเอาร้ายสุม ทบกลุ้มอัตตาทับถม ขึ้งเครียดการใดรุกรม มิเก็บพันห่ม มุ่นหมกให้ใจโศกหมอง วิมานรังหนูหับห้อง ใช่เขื่องคับข้อง บ่มใจเลี้ยงกายยินดี บุราณท่านว่าคับที่ สุขล้นมากมี คับใจมิอาจทานทน ใดร้ายมิหอบเชยปรน ทิ้งขว้างข้างหน มิเก็บสุมถมรกรัง การใดร้ายหนักละวาง มินำประดัง กอดเกยเผาไหม้มานทรวง ห้องน้อยดุจพิมานสรวง โศกทุกข์ทั้งปวง ผ่ายผ่อนออกนอกรังนอน มิพร่ำเสพดื่มนิวรณ์ อุ่นต่างอาภรณ์ กรอกหลอนวิญญาณอารมณ์ คำใครร้ายใดเขื่องข่ม มิหลงจ่อมจม เก็บหอบพันห่มฤดี ใคร่ครวญใดร้ายใดดี ละเมียดถ้วนถี่ จำจดเลือกสรรบำเรอ ใช่เปลือกลมแล้งฝันเพ้อ บ้าใบ้ละเมอ มายาลวงหลอกสาไถย ห้องน้อยมิขังขึงใจ อีกคับข้องใฝ่ กุลีบรรณเจตนาจินต์ ไฟฝันปั้นเสกเพ็ญศิลป์ รังสรรค์ถ้วนสิ้น แต่ห้องเรื้อรกรังหนูฯ สนอง เสาทอง, กวีนิพนธ์, อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ, วิภาษา, กรุงเทพฯ, 2554, หน้า 148-150 หัวข้อ: Re: ...มาสนุกกับการแต่งกาพย์ฉบัง ๑๖ กันไหม... เริ่มหัวข้อโดย: เนิน จำราย ที่ 12 พฤษภาคม 2013, 12:55:PM ๐นิลุบลยลฟ้าน่าชม เทียมหัตถ์ท่าพนม
รับอรุณสุนทรีย์สดใส ๐ผุดพรรณผิวผ่องยองใย งามล้ำอำไพ แผ่ใบโปรยกลิ่นปทุมมาลย์ ๐สัตตบุษย์โกมุทบันดาล ป้อมขาวเบ่งบาน เปล่งปรับประดับสุรีย์แสง ๐สัตตบรรณพงศ์พันธุ์บัวแดง เร้นดอกออกแฝง แต้มแต่งแดดเบาเพรางาย ๐ปัทมาปทุมชาติเรียงราย ผันเผื่อนเขยื้อนสาย กรีดกรายนวยนาดจำนง ๐ถวายตัวทูนแด่พุทธองค์ นบธรรมดำรง แผ่ทั่วกว้างไกลไทยเทอญ เนิน จำราย หัวข้อ: Re: ...มาสนุกกับการแต่งกาพย์ฉบัง ๑๖ กันไหม... เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 12 พฤษภาคม 2013, 02:46:PM ฝันกล่อมเมือง
๑. ดาวสวยเหนือเมืองเรืองแสง บรรเจิดแจรง แต่งโคมนครรัตติกาล แม่น้ำกลางเมืองฉ่ำวาร ไหลล่องรางธาร สะท้อนแสงดาววาววาม พรรณไม้กลางเมืองเขียวงาม ร่าเริงกิ่งยาม ส่ายใบระบำตามลม ลมเมืองผ่านเมืองโชยชม ตึกรามอุดม รื่นรมย์สายลมเสรี โอ้เมืองค่ำคืนนี้มี มนต์แสงเสียงสี ธรรมชาติฉลองชัยแด่คน คนเมืองผู้เรืองฤทธิรณ เยี่ยมปัญญากล ใต้รุ่งอารยะสวรรค์ไสว เผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้ไกร เกริกจักรวาลไป ครองชัยเหนือมิตรทั้งมวล ๒. คืนนี้มิตรธรรมชาติชวน รำลึกนึกหวน มิตรภาพลึกล้ำดำรง มิตรดาวแม้หนาวยังคง ไว้เจตจำนง โปรยแสงแบ่งพื้นพสุนธรา มิตรน้ำแม้ช้ำวิญญาณ์ ยังไว้หยาดมา ซึบซาบอาบกินยินดี มิตรไม้แม้เหลือน้อยมี ยังไว้ไมตรี สีเขียวร่มเงากิ่งงาม มิตรลมนั้นเล่าเฝ้าตาม พัดอยู่ทุกยาม ไม่ถามไม่ท้อมลทิน เพื่อมิตรคนในแดนดิน ทำมาหากิน รู้สึกนึกฝันนานา ๓. คืนนี้ทุกดวงดาริกา ทั้งสายธารา พรรณไม้สายลมร่วมฝัน ร้องเพลงเปล่งธาตุโดยธรรม์ ลืมเรื่องเคืองกัน แม้เคยถูกคนกระทำ กล่อมมิตรกลางเมืองผู้ย่ำ เดินฝ่าชะตากรรม ของสติปัญญาแห่งตน มาเถิดฉลองกันสักหน มิตรเอยมิตรคน คืนนี้อย่าด่วนนิทรา ฟังซิปวงดาริกา เสียงสายธารา เสียงนกเสียงไม้เสียงลม ลืมสิ้นเสียงเมืองระงม ลืมกลิ่นโสมม แห่งมลภาวะสามานย์ หวังมิตรชาวเมืองชื่นบาน สักหนึ่งรัตติกาล พรุ่งนี้...อาจไม่มีแล้ว ! ไพวรินทร์ ขาวงาม ม้าก้านกล้วย, กวีนิพนธ์ซีไรต์ปี ๒๕๓๘, พิมพ์ครั้งที่ 8, แพรวสำนักพิมพ์, กรุงเทพฯ, 2538, หน้า 89-91 หัวข้อ: Re: ...มาสนุกกับการแต่งกาพย์ฉบัง ๑๖ กันไหม... เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 12 พฤษภาคม 2013, 04:43:PM วงสุราแคร่ไผ่
ชาวดอกชาวดินหมู่เฮา เหล้าขอกเหล้าขาว ล้อมวงแคร่ไผ่สุขี บ่ฝันบรั่นดอกบรั่นดี บ่หวังวิสกี้ บ่เปลืองกับแกล้มโซดา แดดร่มลมตกเลิกนา สรวลเสเฮฮา ประสาชาวดอกชาวดิน หน้าแล้งร้างถอกร้างถิ่น ขายแรงแลกสิน หนี้ศอกหนี้สินรุงรัง สิ้นหอกสิ้นหนสิ้นหวัง ทุกข์ล้นประดัง จ่อมนั่งล้อมวงแคร่ไผ่ เหล้าขอกเหล้าขาวรินหาย ในจอกเป๊กใบ หัวใจโลดลิ่วลำพอง โก่งคอประสานเสียงพร้อง ม่วนปากแถกฮ้อง โฮแซวหมอหลอกหมอลำ ทำนอกทำนาหน้าดำ ทุกซอกทุกข์ซ้ำ โดนหลอกชั่วนาตาปี ผักกาดถั่วกะหล่ำปลี ก่อนนั้นมากมี เดี๋ยวนี้เขาสั่งจีนแดง หอมเห็ดกระเทียมพริกแกง ฟักทองแฟงแตง นำเข้าเสรีอาเซียน แรงงานแรงงอกแรงเบียน พม่าลาวเขมรเวียน แย่งงานคนถอกคนไทย ชาวนาชาวหนี้มากมาย ใกล้ตอกใกล้ตาย ติดหนี้สหกง-สหกรณ์ อีแต๋นปุ๋ยยาต้องผ่อน ลูกเรียนออดอ้อน ไอแพดไอโฟนสามจี อิหลักอิเหลื่ออีหลี ทำนาทั้งปี ชาวนาซื้อข้าวสารกิน ดอกเบี้ยดอกบานหนี้สิน ท่วมทั้งแผ่นดิน ใช้หนอกใช้หนี้ชาติหน้า อนาถชะตอกชะตา อีแร้งอีกา น้ำตอกน้ำตาท่วมขื่อ ตู้เย็นพัดลมมือถือ ส่ำปอบกระสือ แย่งยื้อปล้นล้วงกระเป๋า สิอยู่จั๋งใด๋หมูเฮา เหล้าขอกเหล้าขาว จ่อมเมาคาวงแคร่ไผ่ฯ (เขียนเล่นๆ สนุกๆ) สนอง เสาทอง **งานเขียนประเภทร้อยกรอง หากเขียนเพื่อให้บรรณาธิการพิจารณาตีพิมพ์ตามสื่อมาตรฐาน ต้องเขียนให้หลุดไปจากกรอบของการเขียนในห้องเรียน ห้องสอน (ประเภทเขียนส่งอาจารย์ 10 คนเหมือนถอดพิมพ์มาจากบล็อกเดียวกัน) อย่าติดกรอบมายาคติภาษา และไม่ควรพะวงกับกรอบฉันทลักษณ์มากไปจนตึงเคร่ง (รวมทั้งสำนวนภาษา, โวหาร และจริตด้วย) เดี๋ยวจะถูกขังกรอบคิด (เหมือนงานศิลปะทุกอย่าง) เพราะหากเขียนเช่นนั้นใครๆ ก็ทำได้ (ป้อนโปรแกรมเข้าไปในคอมฯ มันทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ) ต้องหลุดจากตำราให้ได้ (ย่อยกลืนบดเข้าไปในหัวแล้วตอนเขียนก็กลั่นออกมา นึกถึงภาพเราดูตำราสูตรปรุงอาหาร อ่านจนเข้าใจทั้งหมด โยนตำราทิ้งไปแล้วลงมือจับตะหลิวบรรเลงปรุง) หากแหวกกับดักเหล่านี้ไม่ได้ ต้นฉบับก็จะถูกดอง หรือถูกทิ้งลงถังขยะครับ (เพราะจะมีคนเขียนในลักษณะเช่นนั้นเกร่อไปหมด ใครที่สามารถแหวกออกมาได้ก็จะสร้างความประทับใจ (สะเทือนใจ เข้าถึงอารมณ์ศิลปะของงานประเภทร้อยกรอง)) หัวข้อ: Re: ...มาสนุกกับการแต่งกาพย์ฉบัง ๑๖ กันไหม... เริ่มหัวข้อโดย: toshare ที่ 18 พฤษภาคม 2013, 03:45:PM กาพย์กลอนฉบัง ๑๖ (ขอขอบคุณ คุณ Orion264(มือขวา) เป็นอย่างยิ่งที่ให้แนวคิดพิสดารนี้)
....ขอเชิญ ชวนเพื่อน กลอนไทย............อย่าหลีก ลี้ไกล..................กาพย์ใช่ ยากเกิน กำลัง กลอนฤๅ ฤพ้น "เพียร"ขลัง...................มานะ บ่ยั้ง.......................ทุกครั้ง ลองเรียน เขียนสาร บ้านฯ นี้ เลิศล้ำ น้ำใจ.........................ผองเพื่อน แนะไข...............ขจัดสิ้น สงสัย กลอนกานท์ จึ่งตั้ง กายจิต ปณิธาน........................มุขจัดเกียจคร้าน.................พากเพียร เรียนร่าย ฉันท์โคลง กาพย์กลอนฉบัง ๑๖ : ต้องแต่งเป็น กาพย์ฉบัง ๒ ชุด แต่ละชุดมี ฉบัง ๒ บท ฉบังชุดที่หนึ่ง บท๑ เป็น วรรคสดับ ในกลอน ไม่แน่ใจว่า ควรห้ามคำท้ายเป็นเสียงสามัญ แบบกลอนไหม เพราะนี่เป็น กาพย์ ควรอ่านแบบกาพย์ ? บท๒ เป็นวรรครับ คำท้ายควรยึดแบบกลอน คือ เสียงจัตวาเพราะสุด ตามด้วย โท เอก ที่ต้องแยกเป็น ฉบังชุดสอง เพราะถ้าบท๓ ไปรับสัมผัสจากบท๒ สัมผัสจะเลือน คือมีมากไปครับ อย่างข้างล่างนี้ * แว่วแว่ว แผ่วเสียง ถามไถ่........จากกาล นานไกล.......ถามใจ ถามเรา เยาวชน ท่านถาม ถามไย ให้ฉงน............ถามแห่ง ถามหน........เหล่าเรา ดั้นด้น ดาวไหน เราย่อม อยากฝัน อยากใฝ่......สำเร็จ ก้าวไกล......มีงาน บ้านเนา สุขใจ มิ่งมิตร คู่ชิด สนิทใกล้...............ฝากผี ฝากไข้..........พรไท้ เผื่อเรา นิรันดร์ หัวข้อ: Re: ฝน..พลันบันดาล (กาพย์กลอนฉบัง ๑๖) เริ่มหัวข้อโดย: toshare ที่ 18 พฤษภาคม 2013, 04:00:PM ขอนำเสนอผลงานคุณ พี.พูนสุข เพื่อให้เห็นชัดถึง กาพย์กลอนฉบัง ๑๖ สองบทครับ
ฝน..พลันบันดาล (กาพย์กลอนฉบัง ๑๖) ....จั้กจั้ก.. ตกหนักทะลักล้น หญ้าหงายว่ายวน เรียวใบส่ายซัดสะบัดยืน เปาะแปะ.. ทรมานนานคืน ดักดานนานฟื้น ขื่นขมตรมนานก้านหมอง จั้กจั้ก.. ตกหนักสำลักน้ำ หญ้าหวั่นครั่นคร้าม ซ้ำรอยถอยหลังขังนอง พรั่งพรู.. สาดสายรายคลอง พอเพียงเลี้ยงท้อง หญ้าเขียวเรียวใบใสวาม.. ....ชาวนาคราตื่นชื่นใจ.. ฝนกราวคราวใด ดินชุ่มอุ้มน้ำฉ่ำแปลง โอดโอยโหยหาหน้าแล้ง ดินแยกแตกระแหง มืดมนทนยากขวากหนาม ชาวนาคราตื่นชื่นบาน.. ฝนพลันบันดาล ข้าวกล้าผาสุกทุกยาม ข้าวเขียวเรียวรวงพวงงาม ข้าวเหลืองเรืองอร่าม จำนำประกันไหนดี..? พี.พูนสุข 02 ตุลาคม 2012, 06:48:am หัวข้อ: Re: ...มาสนุกกับการแต่งกาพย์ฉบัง ๑๖ กันไหม... เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 01 มิถุนายน 2013, 05:17:PM ชะตากรรมนกเมือง
โบกบินเรื่อยร่อนป่าเมือง สองตาชำเลือง ฟูเฟื่องพงตึกรกชัฏ ซอกซอยเลาะเลื้อยเร็วลัด ข้างหนึ่งโบสถ์วัด อึดอัดอีกข้างร้านเหล้า คาราโอเกะเปิดเช้า หญิงชายมั่วเมา เคลียเคล้าพร้องเสียงฮาเฮ เด็กดริ๊งก์ไขว่ห้างนั่งเท่ นุ่งสั้นหมิ่นเหม่ ยิ้มเผล่เก้าอี้หน้าร้าน หลวงพี่ท่องเจ็ดตำนาน ช่องหน้าต่างบาน กุฏิท่านอยู่ติดใกล้ คนเมาแผดขรมโวยวาย พระท่องสวดไป อนาถใจเมืองไทยแดนพุทธ วัดวาอารามพิสุทธิ์ วิเวกวิมุต เปรตภูตมารขวางผจญ คับข้องมิอาจทานทน เลาะซอยตรอกพ้น โผตนเจ่าร้านเซเว่น แอร์ฉ่ำอาบชื่นรมย์เย็น ดูของเพลินเห็น แต่เน้นตาดูเท่านั้น อ่านเล่นหนังสือเรียงชั้น สายตาเหลือบพลัน สะท้านสะท้อนอุรา หนังสือปลุกใจเสือป่า ซุบซิบนินทา ดาราบันเทิงมากมี หนังสือสาระดี-ดี หายากเหลือที่ ฤดีปวดร้าวโซซม โผบินออกร้านหน้าก้ม มิอาจฝืนข่ม มองภาพขมเฝื่อนขัดใจ ฟุตบาทผู้คนขวักไขว่ ต่างมาบ้างไป วุ่นวายรีบเร่งจรลี รถเมล์กระเป๋ากระปี๋ ก่นด่าไอ้อี เร่งจี้เบียดชิดในเดิน ใครเฉยแม่ด่ายับเยิน ตัวทองอัญเชิญ สรรเสริญประดับฉายา โชเฟอร์แข่งบ่นพ่นบ้า ปาดซ้ายเบียดขวา ตะบึงท้าแข่งนรก กว่าถึงป้ายเหงื่อตก เผชิญต่ออีกยก ดื่นดกวินมอเตอร์ไซค์ บอกไม่ต้องรีบค่อยไป ใช่ด่วนอะไร บิดห้อทันใดพุ่งปลิว สงสัยคงโมโหหิว ปาดแซงโลดลิ่ว วิ่งฉิวแข่งลูกกระสุน ตัวเกร็งใจระทึกลุ้น เพ่งบาปสวดบุญ พุทธคุณหลวงปู่ห้อยคอ กว่าถึงที่พักลุ้นท้อ ขึ้นห้องซอมซ่อ ทดท้อล้มนอนปวกเพลีย ชีวิตนกเมืองละเหี่ย หากินคุ้ยเขี่ย เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านผง นับวันผันคืนป่าดง เจ่านิ่งตรอมปลง อีกคงหลายปีนมเนา จ่อมเหม่อดื่มทุกข์กลืนเศร้า น้ำตาคลอเบ้า ป่วยเหงาชะตานกเมืองฯ สนอง เสาทอง 1 มิถุนายน 2556 หัวข้อ: Re: ...มาสนุกกับการแต่งกาพย์ฉบัง ๑๖ กันไหม... เริ่มหัวข้อโดย: nattna ที่ 02 มิถุนายน 2013, 08:32:PM อยากรู้รูปที่ตกแต่ง เห็นเพื่อนสำแดง
เขาทำได้อย่างไรกัน เห็นเส้นที่ใช้ขีดคั่น น่ารักทั้งนั้น บอกวิธีหน่อยได้ไหม ลองหลายวิธีจนใจ ไม่อาจทำได้ จึงลองตั้งคำถามดู ภาพตกแต่งเว็บเห็นอยู่ แต่ยังไม่รู้ ต้องก๊อปต้องวางเช่นไร ก๊อปวางหายวับทันใด ไม่ได้ดั่งใจ ควรทำเช่นไรบอกที มาใหม่อ่อนหัดอะนี้ แค่เพียงอยากมี สีสันเหมือนอย่างใครเขา คนอื่นลวดลายไม่เบา โอ้ว่าตัวเรา เห็นแล้วอิจฉาตาร้อน จึงตั้งคำถามเว้าวอน ขอคนช่วยสอน บอกวิธีหน่อยเถิดหนา บังเอิญใครแวะเวียนมา รู้เรื่องที่ว่า โปรดตอบเป็นวิทยาทาน ยังคอยคำตอบเจือจาน ขอเพียงบอกขาน ขอบคุณสำหรับน้ำใจ นัตนะ emo_126 หัวข้อ: Re: ...มาสนุกกับการแต่งกาพย์ฉบัง ๑๖ กันไหม... เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 08 มิถุนายน 2013, 12:14:PM เหลืองดอกคูณร่วงลาคิมหันต์
เหลืองคูณอร่ามเหลืองร่วงแล้ว เกลื่อนคูเมืองแนว เมืองเก่าประทายสมันต์ คูณร่วงบอกลาคิมหันต์ คืบมาสวสันต์ ปลายร้อนผ่อนสู่ต้นฝน แห้งดินโหยแล้งกรังหม่น ชุบชื่นกมล สายชลโปรยถั่งโลมดิน ชุ่มช่ำหล่อเลี้ยงชีวิน เมืองช้างสุรินทร์ น้ำท่วมออกข่าวทีวี คนกรุงตกใจเหลือที่ ประสบการณ์มี น้ำปีห้าสี่ท่วมหลอน คนสุรินทร์-มิอนาทร โคกเมืองสูงดอน น้ำผ่อนระบายนอกเมือง น้ำท่วมครั้งนี้เป็นเรื่อง ประจานช้าเชื่อง ท่อรางน้ำเสียระบาย หน้าแล้งฝุ่นดินกรวดทราย อุดตันมากมาย เทศบาลมิเคยดูแล วัวหายล้อมคอกนั่นแท้ ท่วมแล้วจึงแก้ โทษใครโทษมันวุ่นวาย ยังดีท่วมก่อนฝนใหญ่ บทเรียนนี้ได้ ช่องหนีที่ไล่เตรียมการ ขุดลอกท่อคลองเร่งงาน ท่อน้ำใครบ้าน เร่งดูแก้ไขโดยพลัน ชุมชนร่วมด้วยช่วยกัน สองสามสี่วัน สิ้นเสร็จเรียบร้อยถ้วนเมือง สุรินทร์เมืองช้างลือเลื่อง ปีนี้ฝนเนือง ตกเขื่องเอาแต่ต้นฝน ชาวบ้านลุกลี้ลุกลน ไถพลิกนาตน หว่านแล้งรับฝนฉ่ำปราย แห่แหนนางแมวนบไหว้ อีกจุดบั้งไฟ บวงสรวงสังเวยเซ่นพลี ท้าวแถนผีฟ้าผีดี เมตตาปรานี ปีนี้น้ำฝนบริบูรณ์ บันดลข้าวนาค้ำคูณ เมตตาเกื้อหนุน อาโดยอาดูรชาวนา อย่าเช่นปีที่ผ่านมา ฝนแต่พฤษภา กลางมิถุนาทิ้งช่วง สิงหาตุลาแล้วล่วง ข้าวแห้งคารวง น้ำตาถั่งร่วงกลืนอก ปีนี้บวงเซ่นงกงก สัตว์น้ำสัตว์บก สินบนแลกฝนผีแถน ฝนฟ้าอย่าทิ้งนาแปน บั้งหมื่นบั้งแสน ยิงฟ้าบัดพลีกำนัล... ...ดอกคูณวายรับวสันต์ กลีบสุดท้ายนั้น ข่มใจห่มไหวอาดูรฯ ***ดอกคูณ (อีสาน), ราชพฤกษ์ (กลาง, ใต้) และลมแล้ง (เหนือ) ***ประทายสมันต์ ชื่อเดิมของเมืองสุรินทร์ ***ค้ำคูณ นัยประมาณว่า มั่งมีศรีสุข, โชคหนุนบุญช่วย ***ผีแถน หมายถึง เทวดา พระอินทร์ ***นาแปน หมายถึง นาเรียบราบ (ไม่มีต้นข้าวขึ้นสักต้น) ***บั้งหมื่น-บั้งแสน หมายถึง ชื่อบั้งไฟเรียกตามขนาด บั้งไฟหมื่น เล็กกว่า บั้งไฟแสน สนอง เสาทอง 8 มิถุนายน 56 หัวข้อ: Re: ...มาสนุกกับการแต่งกาพย์ฉบัง ๑๖ กันไหม... เริ่มหัวข้อโดย: ไร้นวล^^ ที่ 08 มิถุนายน 2013, 09:44:PM (http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_061.gif) (http://www.klonthaiclub.com)
๐วันเวียนหมุนเปลี่ยนแปรสูญ- สิ้นรักจำรูญ จำเลยลวงใจจึ่งหมอง ๐ตรมตรอมตามแต่แดถอง ใช่ใจจองหอง หากรักมากแล้วเลยหลง ๐ภาพพัทธ์เพียงพักตร์อนงค์ เจ็บนี้มิปลง เผลอแป๊บแวบกลับเกี่ยวพัน ๐โอ้หนอกงเกวียนกงกรรม์ กำเนิดเป็นฉัน กลับชอกชู้โฉบสมร ๐มาทำโถมรักแล้วถอน มาหลอกมาหลอน แล้วลาลี้ไกลไม่สน ๐พิษภักดิ์หนักหนาคร่าคน คล้ายเพลิงเผาลน ดั่งตายทั้งเป็นเช่นชายฯ emo_62 (http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_061.gif) (http://www.klonthaiclub.com) หัวข้อ: Re: ...มาสนุกกับการแต่งกาพย์ฉบัง ๑๖ กันไหม... เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 กรกฎาคม 2013, 12:46:PM ดอกรัก ดอกงอน ดอกง้อ
สองเราร่วมปลูกต้นรัก กล่อมเกลี้ยงฟูมฟัก ดอกรักผลิบานรวงช่อ สองใจพะเน้าพะนอ น้ำปุ๋ยปรุงกอ มิท้อฝืนถ่อเปรอปรน ดอกรักบานผ่านสองฝน สะพรั่งงามยล ดอกต้นใบปรกดกดื่น ดอกรักสล้างบานหวานชื่น ดอกใจรมย์รื่น เช้าตื่นเฝ้าชมหลงวัน แต่พอสามฝนผ่านผัน เหตุร้ายโรมรัน ประหวั่นชอกเจ็บเหน็บช้ำ อยู่ในคำนึงทรงจำ ปฐมเทวษระกำ ตอกย้ำฝันร้ายโถมกรู อรุณรุ่งเพ-ลาสางตรู่ เดินเลาะริมคู ดอกหญ้าเจ้าชู้ติดมา นวลไหมตั้งข้อปุจฉา ร้อนรุ่มกังขา วิสัชนาตามจริงไม่ฟัง ปั้นหน้ายักษีคลุ้มคลั่ง ลุกยืนเดินนั่ง ไม่ฟังไม่ฟังเหตุผล ก้มหน้านิ่งเงียบจำนน หมื่นแสนคำบ่น หาหนหาเหตุใส่ไฟ ดอกหญ้าเจ้าชู้นั่นไง ตำตาตำใจ โวยวายผู้ชายวอกลิง ชายอื่นไม่เคยสุงสิง รักนวลสงวนยิ่ง ยอหิ้งบูชาสามี ไยเธอหักหลังเช่นนี้ บกพร่องใดมี ช่วยชี้รีบแจงซึ่งหน้า ดอกรักเริ่มเฉาโรยรา ดอกงอนบานกล้า ไม่ช้าสะพรั่งช่อไสว ดอกงอนต้นกิ่งก้านใบ แบ่งบานกลีบร้าย เธอใส่เม็ดปุ๋ยพรวนดิน ดอกงอนกลีบผกาแข็งหิน เหตุโฉมยุพิน อาจินต์เติมปรุงโกรธา อับจนหนแก้วปัญญา ตริตรองมิช้า ฉวยคว้าดอกง้อมาปลูก เคียงข้างดอกงอนดื่นชุก ให้สองพันผูก คลีคลุกดอกง้อดอกงอน ดอกรักร่วงแล้วกลีบปอน ดอกงอนบานสลอน ดอกง้อผ่อนตามเช้าเย็น ดอกงอนแหวใส่ตูมเต้น ดอกง้อใจเย็น ดอกรักเริ่มฟื้นกลีบบาง ดอกงอนไม่อางขนาง ดอกง้อตื้อพลาง ดอกรักเคยร้างเริ่มตูม เธอถอนดอกงอนทิ้งหลุม ดอกง้อผลิพุ่ม ห่อหุ้มดอกรักสพรั่งคืนฯ สนอง เสาทอง 2 กรกฎาคม 56 หัวข้อ: Re: ...มาสนุกกับการแต่งกาพย์ฉบัง ๑๖ กันไหม... เริ่มหัวข้อโดย: เนิน จำราย ที่ 02 กรกฎาคม 2013, 05:39:PM ดอกรักปลิดกลีบลีบร่วง โรยราลาพวง
กระจายหลายต้นล้นพื้น ภายใต้ภาวะร้อนชื้น นิเวศน์พลิกฟื้น เศษซากชอุ่มชุ่มดิน ดอกงอนเจ้าหนอนพุงปลิ้น ดุกดิกคุ้นลิ้น เลียลามตามมุดขุดพรวน ระแวงแทงหน่อทั่วสวน เง้างอดอบอวล ส่งกลิ่นถิ่นแดนแคว้นรัก ดอกง้อต้องกรำงานหนัก กระชุ่นหนุนผลัก ฟูมฟักเบ็ดเสร็จเช็ดล้าง ครานั้นดอกเงี้ยวเปรี้ยวส่าง หวานท่องตามทาง บานชื่นคืนกลับมาเยือน เนิน จำราย หัวข้อ: Re: ...มาสนุกกับการแต่งกาพย์ฉบัง ๑๖ กันไหม... เริ่มหัวข้อโดย: พยัญเสมอ ที่ 02 กรกฎาคม 2013, 06:07:PM วงสุราแคร่ไผ่ ชาวดอกชาวดินหมู่เฮา เหล้าขอกเหล้าขาว ล้อมวงแคร่ไผ่สุขี บ่ฝันบรั่นดอกบรั่นดี บ่หวังวิสกี้ บ่เปลืองกับแกล้มโซดา แดดร่มลมตกเลิกนา สรวลเสเฮฮา ประสาชาวดอกชาวดิน หน้าแล้งร้างถอกร้างถิ่น ขายแรงแลกสิน หนี้ศอกหนี้สินรุงรัง สิ้นหอกสิ้นหนสิ้นหวัง ทุกข์ล้นประดัง จ่อมนั่งล้อมวงแคร่ไผ่ เหล้าขอกเหล้าขาวรินหาย ในจอกเป๊กใบ หัวใจโลดลิ่วลำพอง โก่งคอประสานเสียงพร้อง ม่วนปากแถกฮ้อง โฮแซวหมอหลอกหมอลำ ทำนอกทำนาหน้าดำ ทุกซอกทุกข์ซ้ำ โดนหลอกชั่วนาตาปี ผักกาดถั่วกะหล่ำปลี ก่อนนั้นมากมี เดี๋ยวนี้เขาสั่งจีนแดง หอมเห็ดกระเทียมพริกแกง ฟักทองแฟงแตง นำเข้าเสรีอาเซียน แรงงานแรงงอกแรงเบียน พม่าลาวเขมรเวียน แย่งงานคนถอกคนไทย ชาวนาชาวหนี้มากมาย ใกล้ตอกใกล้ตาย ติดหนี้สหกง-สหกรณ์ อีแต๋นปุ๋ยยาต้องผ่อน ลูกเรียนออดอ้อน ไอแพดไอโฟนสามจี อิหลักอิเหลื่ออีหลี ทำนาทั้งปี ชาวนาซื้อข้าวสารกิน ดอกเบี้ยดอกบานหนี้สิน ท่วมทั้งแผ่นดิน ใช้หนอกใช้หนี้ชาติหน้า อนาถชะตอกชะตา อีแร้งอีกา น้ำตอกน้ำตาท่วมขื่อ ตู้เย็นพัดลมมือถือ ส่ำปอบกระสือ แย่งยื้อปล้นล้วงกระเป๋า สิอยู่จั๋งใด๋หมูเฮา เหล้าขอกเหล้าขาว จ่อมเมาคาวงแคร่ไผ่ฯ (เขียนเล่นๆ สนุกๆ) สนอง เสาทอง **งานเขียนประเภทร้อยกรอง หากเขียนเพื่อให้บรรณาธิการพิจารณาตีพิมพ์ตามสื่อมาตรฐาน ต้องเขียนให้หลุดไปจากกรอบของการเขียนในห้องเรียน ห้องสอน (ประเภทเขียนส่งอาจารย์ 10 คนเหมือนถอดพิมพ์มาจากบล็อกเดียวกัน) อย่าติดกรอบมายาคติภาษา และไม่ควรพะวงกับกรอบฉันทลักษณ์มากไปจนตึงเคร่ง (รวมทั้งสำนวนภาษา, โวหาร และจริตด้วย) เดี๋ยวจะถูกขังกรอบคิด (เหมือนงานศิลปะทุกอย่าง) เพราะหากเขียนเช่นนั้นใครๆ ก็ทำได้ (ป้อนโปรแกรมเข้าไปในคอมฯ มันทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ) ต้องหลุดจากตำราให้ได้ (ย่อยกลืนบดเข้าไปในหัวแล้วตอนเขียนก็กลั่นออกมา นึกถึงภาพเราดูตำราสูตรปรุงอาหาร อ่านจนเข้าใจทั้งหมด โยนตำราทิ้งไปแล้วลงมือจับตะหลิวบรรเลงปรุง) หากแหวกกับดักเหล่านี้ไม่ได้ ต้นฉบับก็จะถูกดอง หรือถูกทิ้งลงถังขยะครับ (เพราะจะมีคนเขียนในลักษณะเช่นนั้นเกร่อไปหมด ใครที่สามารถแหวกออกมาได้ก็จะสร้างความประทับใจ (สะเทือนใจ เข้าถึงอารมณ์ศิลปะของงานประเภทร้อยกรอง)) ผมเห็นด้วยกับข้อแนะนำของคุณสนองทุกประการครับ เนื่องจากในการพิจารณาตีพิมพ์ผลงานใดๆออกสู่สาธาณะชนนั้น บรรณาธิการหรือเจ้าของสิ่งพิมพ์ต้องคำนึงถึงความต้องการของตลาดเป็นหลักซึ่งมีเรื่องเงินมาเป็นปัจจัยสำคัญคอยชี้ขาด ผู้พิมพ์ผู้โฆษณาจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบว่างานนี้พิมพ์ออกไปแล้วขายได้หรือไม่ได้ สรูปแล้วมันมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องและถือเป็นหัวใจสำคัญ อย่างไรก็ดีผมมีความเห็นว่าถ้าเป็นไปได้ศิลปะกับการตลาดควรต้องคู่ไปด้วยกัน เมื่อมีสิ่งผิดก็ควรต้องมีสิ่งที่ถูกนำเสนอออกไปด้วย เพื่อเป็นตัวเปรียบเทียบและเพื่อดำรงคงไว้ซึ่งสิ่งที่ถูกต้องดีงามของฉันทลักษณ์แห่งโลกวรรณกรรม หากว่าว่านักเขียนมืออาชีพมัวแต่คิดว่า ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาเท่านั้นโดยไม่สนใจจะจรรโลงในสิ่งถูกต้องบ้างเลยมันก็จะทำให้ผู้อ่านที่อ่านและเสพงานของเขานั้น ถือเอาเป็นแบบอย่างตัวอย่างที่ผิดๆแล้วนำมาอ้างต่อๆกันได้ว่าทีนักเขียนระดับมืออาชีพท่านั้นๆยังเขียนได้แสดงว่าสิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้อง มันก็จะเป็นการทำลายวรรณศิลป์ไปในตัว ทางออกที่ดีที่สุดก็คือต้องยึดหลักทางสายกลาง คือตัวผู้เขียนก็จำเป็นต้องพัฒนาฝีมือ แนวคิด และสำนวนการเขียนให้น่าสนใจ ทั้งต้องดำรงคงไว้ซึ่งฉันทลักษณ์ที่ถูกต้องควบคู่ไปด้วย หรืออย่างน้อยต้องมีควบคู่กันไปทั้งสองแบบ คือแบบที่คิดออกไปนอกกรอบ และแบบที่คงรักษาไว้ซึ่งฉันทลักษณ์และวิธีเขียนที่ถูกต้อง เพื่อถ่วงดุลย์ซึ่งกันและกันไม่ให้แบบใดแบบหนึ่ง มีน้ำหนักมากเกินไป หัวข้อ: Re: ...มาสนุกกับการแต่งกาพย์ฉบัง ๑๖ กันไหม... เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 กรกฎาคม 2013, 07:19:PM วงสุราแคร่ไผ่ ชาวดอกชาวดินหมู่เฮา เหล้าขอกเหล้าขาว ล้อมวงแคร่ไผ่สุขี บ่ฝันบรั่นดอกบรั่นดี บ่หวังวิสกี้ บ่เปลืองกับแกล้มโซดา แดดร่มลมตกเลิกนา สรวลเสเฮฮา ประสาชาวดอกชาวดิน หน้าแล้งร้างถอกร้างถิ่น ขายแรงแลกสิน หนี้ศอกหนี้สินรุงรัง สิ้นหอกสิ้นหนสิ้นหวัง ทุกข์ล้นประดัง จ่อมนั่งล้อมวงแคร่ไผ่ เหล้าขอกเหล้าขาวรินหาย ในจอกเป๊กใบ หัวใจโลดลิ่วลำพอง โก่งคอประสานเสียงพร้อง ม่วนปากแถกฮ้อง โฮแซวหมอหลอกหมอลำ ทำนอกทำนาหน้าดำ ทุกซอกทุกข์ซ้ำ โดนหลอกชั่วนาตาปี ผักกาดถั่วกะหล่ำปลี ก่อนนั้นมากมี เดี๋ยวนี้เขาสั่งจีนแดง หอมเห็ดกระเทียมพริกแกง ฟักทองแฟงแตง นำเข้าเสรีอาเซียน แรงงานแรงงอกแรงเบียน พม่าลาวเขมรเวียน แย่งงานคนถอกคนไทย ชาวนาชาวหนี้มากมาย ใกล้ตอกใกล้ตาย ติดหนี้สหกง-สหกรณ์ อีแต๋นปุ๋ยยาต้องผ่อน ลูกเรียนออดอ้อน ไอแพดไอโฟนสามจี อิหลักอิเหลื่ออีหลี ทำนาทั้งปี ชาวนาซื้อข้าวสารกิน ดอกเบี้ยดอกบานหนี้สิน ท่วมทั้งแผ่นดิน ใช้หนอกใช้หนี้ชาติหน้า อนาถชะตอกชะตา อีแร้งอีกา น้ำตอกน้ำตาท่วมขื่อ ตู้เย็นพัดลมมือถือ ส่ำปอบกระสือ แย่งยื้อปล้นล้วงกระเป๋า สิอยู่จั๋งใด๋หมูเฮา เหล้าขอกเหล้าขาว จ่อมเมาคาวงแคร่ไผ่ฯ (เขียนเล่นๆ สนุกๆ) สนอง เสาทอง **งานเขียนประเภทร้อยกรอง หากเขียนเพื่อให้บรรณาธิการพิจารณาตีพิมพ์ตามสื่อมาตรฐาน ต้องเขียนให้หลุดไปจากกรอบของการเขียนในห้องเรียน ห้องสอน (ประเภทเขียนส่งอาจารย์ 10 คนเหมือนถอดพิมพ์มาจากบล็อกเดียวกัน) อย่าติดกรอบมายาคติภาษา และไม่ควรพะวงกับกรอบฉันทลักษณ์มากไปจนตึงเคร่ง (รวมทั้งสำนวนภาษา, โวหาร และจริตด้วย) เดี๋ยวจะถูกขังกรอบคิด (เหมือนงานศิลปะทุกอย่าง) เพราะหากเขียนเช่นนั้นใครๆ ก็ทำได้ (ป้อนโปรแกรมเข้าไปในคอมฯ มันทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ) ต้องหลุดจากตำราให้ได้ (ย่อยกลืนบดเข้าไปในหัวแล้วตอนเขียนก็กลั่นออกมา นึกถึงภาพเราดูตำราสูตรปรุงอาหาร อ่านจนเข้าใจทั้งหมด โยนตำราทิ้งไปแล้วลงมือจับตะหลิวบรรเลงปรุง) หากแหวกกับดักเหล่านี้ไม่ได้ ต้นฉบับก็จะถูกดอง หรือถูกทิ้งลงถังขยะครับ (เพราะจะมีคนเขียนในลักษณะเช่นนั้นเกร่อไปหมด ใครที่สามารถแหวกออกมาได้ก็จะสร้างความประทับใจ (สะเทือนใจ เข้าถึงอารมณ์ศิลปะของงานประเภทร้อยกรอง)) ผมเห็นด้วยกับข้อแนะนำของคุณสนองทุกประการครับ เนื่องจากในการพิจารณาตีพิมพ์ผลงานใดๆออกสู่สาธาณะชนนั้น บรรณาธิการหรือเจ้าของสิ่งพิมพ์ต้องคำนึงถึงความต้องการของตลาดเป็นหลักซึ่งมีเรื่องเงินมาเป็นปัจจัยสำคัญคอยชี้ขาด ผู้พิมพ์ผู้โฆษณาจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบว่างานนี้พิมพ์ออกไปแล้วขายได้หรือไม่ได้ สรูปแล้วมันมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องและถือเป็นหัวใจสำคัญ อย่างไรก็ดีผมมีความเห็นว่าถ้าเป็นไปได้ศิลปะกับการตลาดควรต้องคู่ไปด้วยกัน เมื่อมีสิ่งผิดก็ควรต้องมีสิ่งที่ถูกนำเสนอออกไปด้วย เพื่อเป็นตัวเปรียบเทียบและเพื่อดำรงคงไว้ซึ่งสิ่งที่ถูกต้องดีงามของฉันทลักษณ์แห่งโลกวรรณกรรม หากว่าว่านักเขียนมืออาชีพมัวแต่คิดว่า ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาเท่านั้นโดยไม่สนใจจะจรรโลงในสิ่งถูกต้องบ้างเลยมันก็จะทำให้ผู้อ่านที่อ่านและเสพงานของเขานั้น ถือเอาเป็นแบบอย่างตัวอย่างที่ผิดๆแล้วนำมาอ้างต่อๆกันได้ว่าทีนักเขียนระดับมืออาชีพท่านั้นๆยังเขียนได้แสดงว่าสิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้อง มันก็จะเป็นการทำลายวรรณศิลป์ไปในตัว ทางออกที่ดีที่สุดก็คือต้องยึดหลักทางสายกลาง คือตัวผู้เขียนก็จำเป็นต้องพัฒนาฝีมือ แนวคิด และสำนวนการเขียนให้น่าสนใจ ทั้งต้องดำรงคงไว้ซึ่งฉันทลักษณ์ที่ถูกต้องควบคู่ไปด้วย หรืออย่างน้อยต้องมีควบคู่กันไปทั้งสองแบบ คือแบบที่คิดออกไปนอกกรอบ และแบบที่คงรักษาไว้ซึ่งฉันทลักษณ์และวิธีเขียนที่ถูกต้อง เพื่อถ่วงดุลย์ซึ่งกันและกันไม่ให้แบบใดแบบหนึ่ง มีน้ำหนักมากเกินไป ***นักเขียนอาชีพเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ โตมากับงาน "ฉันทลักษณ์" ก่อนทั้งสิ้น ***บทที่คุณยกมา ไม่ใช่การทำลาย เป็นโวหารแบบบ้านๆ ใครอ่านก็เข้าใจและเข้าถึงทันที ***งานร้อยกรองมีสองกระแสธาร ในวัง และ บ้านวัด สุนทรภู่ซึ่งเป็นนักเขียนอาชีพคนแรกของไทยใช้สำนวนโวหารบ้านๆ เพื่อขายให้แม่ค้าร้านตลาดอ่านรู้เรื่อง ส่วนสำนวนวังก็ใช้ระดับของภาษาอีกแบบหนึ่ง (ประมาณ ไร้หนาม-ไร้นวม คงเห็นภาพชัด) ***กลอน หากเอา original จริงๆ ต้องกลับไปใช้ของอยุธยา ตามความเห็นของมือขวา ใช่หรือไม่ เพราะกลอน original จริงๆ ไม่มีบังคับวรรค 1 และสอง ว่าลงสามัญไม่ได้ กวีสมัยรัตนโกสินทร์เป็นคนตั้งกฎเกณฑ์เอง ฉะนั้น กวีรัตนโกสินทร์ ทำลายวรรณศิลป์ทั้งหมด เพราะดันไม่ใช้แบบอย่างอยุธยา แต่กลับมาสร้างหลักเกณฑ์ขึ้นเองในภายหลังอย่างที่เราเขียนกันทุกวันนี้ ***ภาษาที่ใช้ กวีแต่ละยุคจะพยายามใช้ให้ร่วมสมัยกับคนอ่าน มีคำหลายๆ คำที่อยู่ยั้งยืนยงใช้มาเป็น 700-800 ปี เช่น กู มรึง ฯลฯ ลองจินตนาการ หากกวีสมัยอยุธยา ใช้ภาษาสำนวนโวหารแบบที่เราใช้ขณะนี้ คนอ่านไม่รู้เรื่อง หรือหากกวีสมัยนี้ไปใช้ของอยุธยาแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็อ่านไม่รู้เรื่องเช่นกัน แม้กระทั่งภาษาในแวดวงสงฆ์ ก็เปลี่ยนมากตอนนี้ พระรูปใดเทศน์บาลีสันสกฤตอยู่ชาวบ้านคนไหนจะฟังรู้เรื่อง ต้องเปลี่ยนผ่าน กวีก็เช่นกัน ปีนี้ 2556 เราคงไม่ใช้ภาษาเมื่อปี 2112 หรือ 2301 สมัยกรุงแตกพูดกันหรอกนะ ***กวีไม่เคยมีความคิดเรื่องการค้าอยู่ในหัว มีกวีคนไหนรวยบ้าง กวีไม่ใช่สื่อประเภทแค่ "เป็นกระจก" สะท้อนสังคม แต่ต้องเป็น "ตะเกียง" แห่งประทีปความรู้ส่องนำปัญญาให้กับผู้คนด้วย ***เวลามีงานสัมมนาทางวิชาการ ด้านวรรณกรรมซึ่งจัดบ่อยมาก มือขวาควรเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพราะที่นี่ไม่เหมาะสม เราพูดแบบปากเปล่าไม่มีเอกสารงานวิชาการใดใช้อ้างอิง มีแต่จะพากันเข้ารกเข้าพงไปเปล่าๆ สถานที่แห่งนี้ เขียนโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนไปดีกว่า ***ในการไปบรรยายด้านร้อยกรองทุกครั้ง ผมหยิบงานเขียนเก่า อยุธยา, รัตนโกสินทร์ไปเปรียบเทียบให้เห็นเสมอ และชี้ให้เห็นว่าคลี่คลายมาเป็นอย่างไรในปัจจุบัน ไม่เคยทิ้งของเก่า ขอบคุณที่มีคำแนะนำมา สนอง เสาทอง 2 กรกฎาคม 56 หัวข้อ: Re: ...มาสนุกกับการแต่งกาพย์ฉบัง ๑๖ กันไหม... เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 06 สิงหาคม 2013, 10:22:AM แม่ครัวหัวป่าก์ชวนชิม
ร่านแดดคลุ้มคลั่งรุ่มร้อน หัวผงกจากหมอน ขืนนอนต่อไปคงแย่ เช้าแล้วสอดส่ายตาแล ชะเง้อชะแง้ ร่อแร่มึนงงหัวหมุน เช้านี้ที่ครัววายวุ่น ใจจ่อรอลุ้น แม่คุณกับข้าวกับปลา ตีห้าเธอตื่นหุงหา กลัวสามีว่า แกงพล่าแม่บ้านพลาสติก เสียงมีดหั่นซอยระริก โขลกตำน้ำพริก เสียงพลิกตะหลิวฉิวฉ่า แอบยิ้มวาดป้ายใบหน้า มื้อเช้านี่หนา ผัดฉ่าต้มยำน้ำแกง กระไอกระแอมอย่างแรง เธอรีบจัดแจง ตักแบ่งกับข้าวแต่งโต๊ะ กางเกงชุดนอนรีบโละ อาบน้ำสบู่โปะ เชะโชะถูฟันสะอาด เยื้องย่างกระวีกระวาด อกผายผึ่งผาด มาดหมายฝีมือแม่ครัว น้ำลายรีบกลืนไม่รั่ว เอินเย้าหยอกหัว นี่ตัวต้มแกงหอมจัง อย่าพล่ามรีบเลยมานั่ง วางโครมลงปัง ละห้อยตาตั้งเช็กกับ ไข่เจียวไม่มีหมูสับ น้ำพริกถ้วยคับ แดงจับพริกแดงสด-สด ต้มยำพล่าแกงน้ำซด เมนูเช้างด ประชดประชันบึ้งตึง กระถินมะระตำลึง แต่เช้าเธอพึ่ง เด็ดทึ้งมาจากริมรั้ว ไงจ้ะฝีมือแม่ครัว รีบกินอย่ายั่ว เดี๋ยวผัวะหลังแหวนนิ้วมือ อยากกินมากนักใช่หรือ แม่บ้านรสมือ อย่าหือกินน้ำกลั้วตาม ไข่เจียวเลิศรสอย่าหยาม แม่ช้อยนงราม ไม่ต้องมารำให้เมื่อย น้ำพริกโขลกแหลกป่นเปื่อย รู้ไหมตำเหนื่อย อย่าเฉื่อยผักเคียงลงจิ้ม อร่อยหรือไม่ลืมชิม อย่าปั้นหน้าติ๋ม กินอิ่มแล้วลุกล้างจาน วันนี้ไม่กินข้าวบ้าน เมียรีบเข้างาน อาหารหากินดาบหน้า ข้าวราดแกงถุงนานา มากมายเลือกหา แม่ค้าวางขายเกลื่อนกลาด กับข้าวพลาสติกในตลาด เลือกได้รสชาติ เผ็ดจัดจืดเค็มหวานมัน แม่บ้านศรีเรือนอย่างฉัน งานยุ่งทั้งวัน เช่นกันกับคุณสามี รู้ฤทธิ์รสมือแล้วซี จะเอาแบบนี้ หรือพี่จะกินแกงถุง บอกมารีบเร็วเมียยุ่ง น้ำพริกเมียปรุง หรือจะแกงถุงเหมือนเดิมฯ |