พิมพ์หน้านี้ - ..สงบ..

ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน

บทประพันธ์กลอนและบทกวีเพราะๆ => กลอนธรรมะ+กลอนสอนใจ+กลอนธรรมชาติ+กลอนปรัชญา => ข้อความที่เริ่มโดย: นัท ผู้ชายฯ รักในหลวง ที่ 03 สิงหาคม 2012, 04:48:PM



หัวข้อ: ..สงบ..
เริ่มหัวข้อโดย: นัท ผู้ชายฯ รักในหลวง ที่ 03 สิงหาคม 2012, 04:48:PM
..สงบ..

ร่ำรวย.........ใช่สงบ
หล่อสวย.....ใช่สงบ
เด่นดัง.........ใช่สงบ

สะดุดหยุดอยู่
ตรองดูสักนิด
ใคร...ที่ลิขิต
หรือจิตของตน

สะดุดหยุดวาง
กระจ่างหลุดพ้น
ผ่องแผ้วกมล
เหตุผลแห่งธรรม

สะดุดหยุดเถิด
ประเสริฐเลิศล้ำ
หยุดเวรหยุดกรรม
น้อมนำ....ทำดี


หัวข้อ: ธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: นัท ผู้ชายฯ รักในหลวง ที่ 19 มกราคม 2013, 08:30:AM
ธรรมะ

ธรรมะหรือ คือธรรม ที่ล้ำค่า
ศาสนา สอนไว้ ให้จำจด
ช่วยชีวิต จิตใจ ไม่งอคด
และงามงด สดใส หากใฝ่ธรรม

ปฏิบัติ หัดไว้ ได้ปัญญา
สิ่งชั่วช้า ฝ่าได้ ไม่ถลำ
สิ่งดีงาม ตามไป ให้น้อมนำ
ก่อนจะทำ กรรมใด จงไตร่ตรอง

บทพระธรรม ล้ำค่า สง่าใส
ช่วยกายใจ ไม่รั่ว บ่มัวหมอง
พระธรรมพรม ห่มใจ ให้สมปอง
จิตเรืองรอง ผ่องผุด ดุจแก้วงาม

พระธรรมหยุด ฉุดใจ ไม่หลงผิด
ช่วยฝึกจิต คิดดี มีครบสาม
กายวาจา และใจ ได้รู้ความ
พบนิยาม ความสุข ไร้ทุกข์เอย


หัวข้อ: Re: ..สงบ..
เริ่มหัวข้อโดย: m1 ที่ 19 มกราคม 2013, 02:21:PM
ความสงบเราพบได้เมื่อใจพอ
ใจไม่ก่อ กรรมภพ จบสังขาร
มีสติผู้รู้ เคียงคู่วิญญาณ
ทันเหตุการณ์อยตนะปะทะกัน

ใช้สมาธิมัดใจ ไม่ไหลหลง
ให้มั่นคงเป็นกลางอย่างสร้างสรรค์
ยามเมื่อตากับรูปเขาจูบกัน
ไม่มีฉันร่วมด้วยช่วยปรุงแต่ง

ยามเมื่อหูร้องกู่ต้อนรับเสียง
อย่าลำเอียงเข้าข้างจนใจแสลง
เป็นหน้าที่ของหูเขาแสดง
อย่าดัดแปลงด้วยตัณหาพาชอบชัง

ยามใดกลิ่นโชยมาท้าทายจมูก
อย่ารับลูกเอาจมูกมาเป็นฉัน
สักแต่ว่าสัญญากลิ่นเท่านั้น
หากรู้ทันผัสสะ จะสงบเย็น
 emo_126ขออนุญาตสนทนาธรรมด้วยครับ
               m1 ( 19/01/56)


หัวข้อ: Re: ..สงบ..
เริ่มหัวข้อโดย: rit sriduang ที่ 19 มกราคม 2013, 05:01:PM
ร่วมด้วยครับ

พระธุดงค์
ฝนค้างใบไม้ค่อยทยอยหยด
เอาจิตจรดใจจับสดับเสียง
ทุกกระทบธารน้ำเกิดสำเนียง
ถึงแผ่วเพียงสัมผัสแต่ชัดเจน

ในค่ำคืนชื้นน้ำและฉ่ำฝน
มาฝึกตนในพฤกษ์อันลึกเร้น
ท่ามกลางแสงรางเลือนจากเดือนเพ็ญ
สงบเย็นเพลิดเพลินอยู่เนิ่นนาน

สมณะพระธุงค์ผู้ทรงศีล
ผู้ป่ายปีนข้ามวงวัฏฏ์สงสาร
ผู้ถือธรรมศรัทธาภิกขาจาร
หมายนิพพานเบื้องหน้าเป็นอารมณ์

ศีล ปัญญา สมาธิ สติตั้ง
มีจิตหยั่งรู้ทุกข์แลสุขสม
ปฏิบัติธุดงค์เดินจงกรม
และรู้ลมหายใจในกายตัว

ยิ่งเจริญในธรรมกรรมฐาน
ยิ่งตัดมารกิเลสและเหตุชั่ว
ยิ่งตัดเมาเขลาขลาดและหวาดกลัว
เป็นดอกบัวพ้นน้ำในยามนี้

มาปักกลดภาวนากลางป่าชัฏ
ท่ามกลางสัตว์เสือสิงห์กระทิงหมี
ทั้งเย็นเยียบเงียบจัดสงัดดี
ทั้งไม่มีผู้คนมาสนใจ

พอรุ่งเช้าดาวจางน้ำค้างหยาด
บิณฑบาตใต้โคนต้นไม้ใหญ่
เหลือกิเลสเท่าเล็บเท่าเห็บไร
กับวินัยเคร่งครัดวิปัสสนา

เหตุนี้เทพเทวาเทพารักษ์
จึงพร้อมพรักสักการะแก่พระป่า
ใส่ข้าวเหลืองในบาตรเพื่อบูชา
เป็นภัตตาหารทิพย์เท่าหยิบมือ

พระซึ่งตัดโอชาแห่งอาหาร
ความต้องการฉันขอแค่พอมื้อ
ใช่อวดฤทธิ์ร่ายมนตร์ให้คนลือ
จะขึ้นชื่ออุตริผิดวินัย

ฌานโลกีย์มีอิทธิฤทธิ์เดช
ก่อกิเลสลุ่มเหลิงดุจเพลิงไหม้
เพราะน้อมนำดำรัสพระตรัสไตร
ให้ฝึกใจใช่ติดในฤทธิ์ฌาน

จึงตั้งจิตภาวนาใต้คาคบ
จิตสงบ..สุขใจจึงไพศาล
เห็นภาพปวงเทวาสาธุการ
เห็นสังขารมากมายเกิดตายลง

หูได้ยินทุกเสียงแม้แสนห่าง
เห็นทุกอย่างแจ่มใสแม้ไรผง
เห็นภาพตนเวียนว่ายยิ่งหน่ายปลง
สิ่งยืนยงใดใดล้วนไม่มี

จึงยินเสียงจากสรวงสู่ดวงจิต
“ท่านหมดกิจแล้วหนอต่อแต่นี้”
ทราบว่าเสียงพระมุนินทร์ก็ยินดี
รัศมีแห่งกายจึงพรายพลัน

เกิดปิติในธรรมอันล้ำลึก
ซึ่งรู้สึกเฉพาะพระอรหันต์
ขณะที่เมฆเกลื่อนกลบเลือนจันทร์
ขณะนั้นภิกษุบรรลุแล้ว

พระธุดงค์กลางป่าจึงปราโมทย์
ในนิโรธสมาบัติดุจฉัตรแก้ว
หลายอรุณอุ่นอ้าวจวบดาวแวว
ยังนิ่งแน่วเสวยสุขหมดทุกข์กรรม

แม้มิฉันอาหารมานานนัก
แต่รูปลักษณ์พักตร์พริ้มดูอิ่มหนำ
อิ่มในสมาธิปิติธรรม
พร้อมชี้นำส่ำสัตว์..ณ บัดนี้……

๒๖ กันยายน ๒๕๕๒