หัวข้อ: "รู้-ไม้-ใช่-ว่า-ตัด-มา-แบก-หาม" เริ่มหัวข้อโดย: อริญชย์ ที่ 18 ธันวาคม 2011, 08:37:AM เป็นต้นไม้ มีถิ่นฐาน อยู่บ้านทุ่ง
ชื่อ "ต้นกุง" สูงเดี่ยวใบเขียวหนา เด็ดใบทำฝาพอเพียงกั้นเถียงนา ห่อข้าวปลาอาหารได้สบายเอย ฯ อริญชย์ ๑๘/๑๒/๒๕๕๔ <iframe title="YouTube video player" class="youtube-player" type="text/html" width="480" height="390"src=" http://www.youtube.com/watch?v=wzNSTH7EJGA#noexternalembed&feature=related&feature=related&feature=related&autoplay=1 (http://www.youtube.com/watch?v=wzNSTH7EJGA#noexternalembed&feature=related&feature=related&feature=related&autoplay=1)" frameborder="0"></iframe> emo_95 emo_107 emo_95 http://www.google.co.th/imgres?q=%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%87&hl=th&sa=X&biw=1280&bih=578&tbm=isch&prmd=imvns&tbnid=lNIbqJyCGSEL2M:&imgrefurl=http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php%3Ftopic%3D34123.16&docid=6MhPxCcjFVuUdM&imgurl=http://img155.imageshack.us/img155/4781/dsc03811a.jpg&w=640&h=480&ei=EETtTveZIsnIrQfiotGaCQ&zoom=1&iact=hc&vpx=499&vpy=266&dur=2141&hovh=194&hovw=259&tx=120&ty=149&sig=114400656218955738018&page=1&tbnh=168&tbnw=230&start=0&ndsp=10&ved=1t:429,r:7,s:0 (http://www.google.co.th/imgres?q=%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%87&hl=th&sa=X&biw=1280&bih=578&tbm=isch&prmd=imvns&tbnid=lNIbqJyCGSEL2M:&imgrefurl=http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php%3Ftopic%3D34123.16&docid=6MhPxCcjFVuUdM&imgurl=http://img155.imageshack.us/img155/4781/dsc03811a.jpg&w=640&h=480&ei=EETtTveZIsnIrQfiotGaCQ&zoom=1&iact=hc&vpx=499&vpy=266&dur=2141&hovh=194&hovw=259&tx=120&ty=149&sig=114400656218955738018&page=1&tbnh=168&tbnw=230&start=0&ndsp=10&ved=1t:429,r:7,s:0) หัวข้อ: Re: "รู้-ไม้-ใช่-ว่า-ตัด-มา-แบก-หาม" เริ่มหัวข้อโดย: บูรพาท่าพระจันทร์ ที่ 18 ธันวาคม 2011, 09:31:AM เป็นต้นไม้ มีถิ่นฐาน อยู่บ้านทุ่ง ชื่อ "ต้นกุง" สูงเดี่ยวใบเขียวหนา เด็ดใบทำฝาพอเพียงกั้นเถียงนา ห่อข้าวปลาอาหารได้สบายเอย ฯ อริญชย์ ๑๘/๑๒/๒๕๕๔ <iframe title="YouTube video player" class="youtube-player" type="text/html" width="480" height="390"src=" [url]http://www.youtube.com/watch?v=wzNSTH7EJGA#noexternalembed&feature=related&feature=related&feature=related&autoplay=1[/url] ([url]http://www.youtube.com/watch?v=wzNSTH7EJGA#noexternalembed&feature=related&feature=related&feature=related&autoplay=1[/url])" frameborder="0"></iframe> emo_95 emo_107 emo_95 [url]http://www.google.co.th/imgres?q=%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%87&hl=th&sa=X&biw=1280&bih=578&tbm=isch&prmd=imvns&tbnid=lNIbqJyCGSEL2M:&imgrefurl=http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php%3Ftopic%3D34123.16&docid=6MhPxCcjFVuUdM&imgurl=http://img155.imageshack.us/img155/4781/dsc03811a.jpg&w=640&h=480&ei=EETtTveZIsnIrQfiotGaCQ&zoom=1&iact=hc&vpx=499&vpy=266&dur=2141&hovh=194&hovw=259&tx=120&ty=149&sig=114400656218955738018&page=1&tbnh=168&tbnw=230&start=0&ndsp=10&ved=1t:429,r:7,s:0[/url] ([url]http://www.google.co.th/imgres?q=%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%87&hl=th&sa=X&biw=1280&bih=578&tbm=isch&prmd=imvns&tbnid=lNIbqJyCGSEL2M:&imgrefurl=http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php%3Ftopic%3D34123.16&docid=6MhPxCcjFVuUdM&imgurl=http://img155.imageshack.us/img155/4781/dsc03811a.jpg&w=640&h=480&ei=EETtTveZIsnIrQfiotGaCQ&zoom=1&iact=hc&vpx=499&vpy=266&dur=2141&hovh=194&hovw=259&tx=120&ty=149&sig=114400656218955738018&page=1&tbnh=168&tbnw=230&start=0&ndsp=10&ved=1t:429,r:7,s:0[/url]) คลังปัญญา หาให้ ไม่มีหมด เพียรจารจด พจน์พร่ำ คำเฉลย ทั้งต้นไม้ ไก่ปลา มาหมดเลย ยากมาเผย เอ่ยครบ ให้จบความ.../ บูรพาท่าพระจันทร์ หัวข้อ: Re: "รู้-ไม้-ใช่-ว่า-ตัด-มา-แบก-หาม" เริ่มหัวข้อโดย: อริญชย์ ที่ 18 ธันวาคม 2011, 06:25:PM “ตะคร้อ” เป็นต้นไม้ป่าธรรมชาติ
ผลสุกอาจทานช่วยให้ขับถ่ายคล่อง รสชาติเปรี้ยวสีเหลืองงามเรืองรอง เนื้อไม้ของตะคร้อแก่นหนักแน่นทน! ฯ อริญชย์ ๑๘/๑๒/๒๕๕๔ ข้อมูลเพิ่มเติม(สาระธรรม) นิทานชาดก “หมีกับไม้ตะคร้อ” http://www.dhammathai.org/chadoknt/chadoknt24.php (http://www.dhammathai.org/chadoknt/chadoknt24.php) ข้อมูลเกี่ยวกับต้นตะคร้อ(โดยตรง) http://www.boonrarat.net/smunprai/takro.htm (http://www.boonrarat.net/smunprai/takro.htm) “ตะคร้อ Schleichera oleosa (Lour.) Oken ชื่อวิทยาศาสตร์ :Schleichera oleosa (Lour.) Oken ชื่อวงศ์ : SAPINDACEAE ชื่อท้องถิ่น : กอซ้อ กาซ้อง ค้อ คอส้ม เคาะ เป็นต้น ลักษณะทั่วไป: ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 15-25เมตร ผลัดใบ เรือนยอดทรงรูปไข่ทึบ แตกกิ่งลำต้นสั้นมักเป็นปุ่มปมและ พูพอน เปลือกสีนำตาลเทา ดอก: สีขาวอมเขียว ออกเป็นช่อแยกแขนงตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอก ออก มี.ค - เม.ย ผล: ผลสดแบบมีเนื้อเมล็ดเดี่ยว ทรงไข่แกมขอบ และโคนผลเปลือกเรียบและเกลี้ยน ผลสุกสีนำตาล เนื้อสีเหลือง เมล็ดรูปไข่ ผล ออก มิ.ค - ส.ค ด้านภูมิทัศน์: ปลูกเพื่อให้ร่มเงาดี เพราะพุ่มใบทึบเหมาะสำหรับพื้นที่กว้าง ผลดึงดูดนกได้ ประโยชน์: ไม้ทำเสาเรือน ด้ามเครื่องมือ เปลือกแก้ท้องร่วง น้ำมันเมล็ดแก้ผมร่วง ผลสุขมีรสเปรี้ยวอมหวาน,ทำผลิตภัณฑ์ล้างจาน ล้างห้องน้ำ,ผลทำอาหารหวานได้หลายชนิด เช่น แยม,ตะคร้อแก้ว,ลูกกวาดตะคร้อ,น้ำตะคร้อ,ไวน์ emo_95 emo_107 emo_95 หัวข้อ: Re: "รู้-ไม้-ใช่-ว่า-ตัด-มา-แบก-หาม" เริ่มหัวข้อโดย: อริญชย์ ที่ 19 ธันวาคม 2011, 08:21:AM “ต้นแมงดา” หอมกรุ่นละมุนกลิ่น
คนท้องถิ่นเด็ดใบมาปรุงอาหาร ได้กลิ่นหอมแมงดาน่ารับประทาน, เกิดริมธาร หุบเขาลำเนาไพร ฯ อริญชย์ ๑๙/๑๒/๒๕๕๔ ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNakE0TURZMU13PT0=§ionid=Y25Wd1lXbHRiMlJs&day=TWpBeE1DMHdOaTB3T0E9PQ== (http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNakE0TURZMU13PT0=§ionid=Y25Wd1lXbHRiMlJs&day=TWpBeE1DMHdOaTB3T0E9PQ==) ต้นแมงดา"ทำมัง" รู้ไปโม้ด [email protected] อยากรู้จักต้นกลิ่นแมงดา เป็นอย่างไรอธิบายด้วยครับ Niwat ตอบ นิวัต ไม้พันธุ์ที่มีกลิ่นเหมือนแมงดาคือ "ทำมัง" ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีเกษตร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยอธิบายไว้ว่า ทำมังเป็นต้นไม้ที่มีกลิ่นแมงดา สกุล Litsea วงศ์ Lauraceae โดยที่ไม้ในวงศ์นี้มีอยู่ถึง 400 ชนิด อาทิ อบเชย สะทิด ทัง บง ฯลฯ ทำมังเป็นไม้หวงห้ามประเภท ข พบกระจายในเขตร้อนและกึ่งร้อนของเอเชีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอเมริกา สำหรับประเทศไทยซึ่งเรียกชื่อทำมังเหมือนกันหมด พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่จ.ประจวบคีรีขันธ์ตอนล่าง (อ.บางสะพาน และอ.บางสะพาน น้อย) ชุมพร สุราษฎร์ธานี นรา ธิวาส โดยชอบอยู่ตามที่ชื้นในหุบเขา ริมลำธาร ในป่าดงดิบจนถึงป่าพรุ แต่ไม่ค่อยพบในป่าบนภูเขา ทำมังเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ ทรงพุ่มแบบพีระมิดค่อนข้างโปร่ง เส้นผ่าศูนย์กลางโคนต้น 30-40 ซ.ม. เปลือกลำต้นสีน้ำตาลถึงเทา ใบแบบใบเดี่ยวเรียงสลับหมุนเวียนรอบกิ่ง ใบกว้าง 3-9 ซ.ม. ยาว 6-20 ซ.ม. ก้านใบยาว 1-2.5 ซ.ม. แผ่นใบบางเป็นมัน เส้นแขนง 4-12 คู่ มองเห็นชัดเจนทางด้านท้องใบ บนใบมีต่อมน้ำมัน ผลรูปไข่ยาว 1 ซ.ม. เมื่อแก่มีสีน้ำตาลแดง ภายใน มีเมล็ดเดียว ต้นทำมังมีทั้งต้นตัวผู้และตัวเมีย ดอกแยกเพศ ส่วนกลิ่นแมงดามีอยู่ที่ใบ เปลือกลำต้น และเนื้อไม้ นิยมนำใบอ่อนมาผสมลงในแกงเลียงเพื่อให้มีกลิ่นฉุนของแมงดา หรือนำใบแก่ย่างไฟตำผสมลงในน้ำพริก จะได้น้ำพริกกลิ่นแมงดา และนำไม้มาทำสากสำหรับตำน้ำพริกที่ต้องการให้มีกลิ่นแมงดา ในการสำรวจพันธุ์ไม้ พบประเทศไทยมีทำมัง 4 ชนิด ลักษณะใกล้เคียงกันมาก ได้แก่ 1.Litsea elliptica Boerl. พบมากที่จ.สุราษฎร์ธานี ลักษณะเด่นคือใบรูปมนรี ใบเล็กกว่าพันธุ์อื่น คือ กว้าง 2-6.5 ซ.ม. ยาว 6-14 ซ.ม. มีเส้นแขนงใบ 5-8 คู่ ฐานใบไม่เท่ากัน กระพี้ไม้สีเหลืองอ่อน ส่วนต้นขนาดใหญ่กว่าชนิดอื่น และก้านดอกสั้นเพียง 3 ม.ม. 2.Litsea leiantha Hook.f พบมากที่ จ.สุราษฎร์ธานี ลักษณะเด่นคือใบค่อนข้างใหญ่ ฐานใบเท่ากัน เส้นแขนงใบและเส้นตาข่ายเห็นชัดเจนด้านล่างของใบ ก้านดอกสั้น 3.Litsea petiolata Hook.f พบมากที่จ.ตรัง ลักษณะเด่นคือก้านใบยาวเรียว ใบมีขนาดกลาง กลิ่นฉุนกว่าชนิดอื่น 4.Litsea resinosa Bl. พบมากที่จ.นครศรีธรรมราช ลักษณะเด่นคือมียางใสที่ใบ มีใบขนาดใหญ่ที่สุดคือ กว้าง 4-9 ซ.ม. ยาว 11-20 ซ.ม. เส้นแขนงใบ 7-12 คู่ มีช่อดอกยาวกว่าชนิดอื่น แต่ลำต้นเล็กกว่า อย่างไรก็ตาม การจำแนกทำมังทั้ง 4 ชนิด ยังค่อนข้างสับสน โดยเฉพาะเมื่อทำมังเป็นต้นไม้ทั้งต้นตัวผู้และตัวเมียจึงแยกชนิดได้ยาก ส่วนในมาเลเซียมีรายงานว่ามีทำมังชนิดที่ 1, 3 และ 4 ทุกวันนี้ ทำมังในแหล่งธรรมชาติถูกตัดทำลายจนเกือบสูญพันธุ์ เพื่อนำพื้นที่ปลูกยางพารา ปาล์มน้ำมัน ทุเรียน มังคุด กาแฟและโกโก้ ข้อมูลระบุว่า ช่วงเวลาก่อนเหตุการณ์พายุไต้ฝุ่นเกย์ (4 พฤศจิกายน 2532) ยังมีต้นทำมังอยู่ประปรายในเขตประจวบคีรีขันธ์ตอนล่าง และชุมพรตอนบน รวมทั้งที่เกษตรกรปลูกอยู่บ้าง แต่หลังจากพายุไต้ฝุ่นเกย์ ต้นทำมังสูญไปจากบริเวณนั้นอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ เพราะลำต้นผอมสูง ทรงพุ่มลีบ การจะขึ้นไปเก็บเมล็ดทำได้ลำบาก ประกอบกับเมล็ดที่ร่วงลงมากระจายหายไป ทำให้ต้นกล้าที่ขึ้นอยู่ในสภาพป่าธรรมชาติมีน้อยมาก การขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดจึงมีโอกาสน้อยมากด้วย ส่วนการขยายพันธุ์โดยวิธีตอนกิ่ง ใช้เวลา 3-4 เดือนจึงออกรากและตัดไปปลูกได้ แต่ในการทดลองใช้ฮอร์โมนเร่งราก ABT หมายเลข 1 และ 2 เข้มข้น 2,500 ส่วนในล้านส่วน (ppm) ทาบริเวณที่ควั่น ใช้ใบตองแห้งหุ้มไว้ 2 สัปดาห์ แล้วหุ้มด้วยขุยมะพร้าว พบว่าเร่งให้ออกรากได้ในเวลา 2 เดือน และกิ่งออกรากได้สูงถึงร้อยละ 95 หน้า 24 หัวข้อ: Re: "รู้-ไม้-ใช่-ว่า-ตัด-มา-แบก-หาม" เริ่มหัวข้อโดย: อริญชย์ ที่ 20 ธันวาคม 2011, 07:09:PM (http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/710/162/large_DSCN3622.JPG?1302515850) ดอกอัญชันสีขาวแย้มพราวพร่าง งามกระจ่างตระการแต้มลานหญ้า แก้ท้องผูก...เมล็ดเด่น...กินเป็นยา ขับปัสสาวะ ต้มราก...ดื่มมากดี!ฯ อริญชย์ *ถ้าพูดถึงดอกอัญชัน เรามักจะนึกถึงดอกอัญชันสีม่วง (เพราะพบเห็นมาก) อันที่จริง ดอกอัญชันขาวก็มีนะ ขาวล้วนเลย ไม่มีสีม่วงเจือเลย (ต้นเหมือนกันทุกอย่าง) หมอไทยมักใช้พันธุ์ดอกสีขาวทำยาโดยมาก ดูรูปตามเวบนี้ก็ได้ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nulaw-08&month=12-2010&date=15&group=7&gblog=285 (http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nulaw-08&month=12-2010&date=15&group=7&gblog=285) หรือพิมพ์หาคำว่า อัญชันขาว ที่ www.google.com (http://www.google.com) ก็ได้นะ emo_95 emo_107 emo_95 ความจริงแล้วดอกอัญชันมีหลายสี (http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/720/319/large_aaaa4anda.jpg?1305362771) ภาพจาก www.google.com (http://www.google.com) หัวข้อ: Re:ต้นรางจืด อัศจรรย์สมุนไพรไทยแก้พิษร้าย (แนะนำว่าควรอ่าน/ควรหาปลูกไว้) เริ่มหัวข้อโดย: อริญชย์ ที่ 24 ธันวาคม 2011, 06:07:PM (http://www.sahavicha.com/UserFiles/Image/3854913091_b23d9b9b0e.jpg)
“ต้นรางจืด” คลายฤทธิ์เมา จากเหล้าได้ พิษเบื่อร้าย จากสัตว์,พืช รางจืดถอน ดอกสีม่วง งามตระการ แห่งบ้านดอน เถาไม้อ่อน เลื้อยไปเรื่อย ยาวเฟื้อยเอย!ฯ อริญชย์ ๒๔/๑๒/๒๕๕๔ รางจืด มีฤทธิ์ แก้ (ไม่มีฤทธิ์กัน:กินก่อนเพื่อป้องกันไม่ได้) แต่ถ้าคนเบื่อสัตว์พิษ (แมงดาเห-รา) เห็ดพิษ พิษคางคก เมาเหล้าค้าง ต้มน้ำรางจืดให้ดื่ม อันนี้ช่วยได้อย่างแน่นอน รางจืดคือพืชที่แสนอัศจรรย์ในทางแก้พิษของไทยเรา ว่านรางจืด แก้พิษ ไข่ แมงดาไฟ แมงดาถ้วย เห รา http://www.youtube.com/watch?v=nMBjYXwfAq8 กรณีนายศุภชัย จุลมูล อายุ 42 ปี และนางนงนุช ปงเมฆ อายุ 40 ปี 2 สามีภรรยา อยู่บ้านเลขที่ 1/2 บ้านอีแล็ด หมู่ 2 ต.หาดทรายรี อ.เมืองชุมพร อาชีพรับซื้ออาหารทะเล นำไข่แมงดาทะเลชนิดมีพิษหรือ “แมงดาถ้วย” หรือเหรา หรือแมงดาไฟ มายำกับมะม่วงดิบ ทำเป็นอาหารจานโปรดเลี้ยงสมาชิกในครอบครัว แต่ภายหลังรับประทานเข้าไปไม่นาน ปรากฏว่าทุกคนเกิดอาการแน่นหน้าอก ปากมือเท้าชา อาเจียน ไม่มีเรี่ยวแรง ญาติต้องหามส่ง รพ.ชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ อ.เมืองชุมพร 5 ราย ในจำนวนนี้มีอาการโคม่า 2 ราย คือนางนงนุช กับ ด.ญ. ดารารัตน์ จุลมูล อายุ 11 ขวบ ลูกสาว แพทย์ต้องส่งตัวเข้าห้องไอซียู ส่วนนายศุภชัยและลูกอีก 2 คน คือนายวีรยุทธ จุลมูล อายุ 17 ปี และ ด.ช.วีระชัย จุลมูล อายุ 12 ปี อาการปลอดภัย ความคืบหน้าเมื่อตอนสายวันที่ 5 ก.พ. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ รพ.ชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ อ.เมืองชุมพร พบเจ้าหน้าที่กำลังเคลื่อนย้ายนางนงนุช และ ด.ญ.ดารารัตน์ ออกจากห้องไอซียูไปยังห้องพักฟื้นตึกหมอพร โดย นางนงนุชซึ่งนอนอยู่บนรถเข็นผู้ป่วย มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส หันมากล่าวกับผู้สื่อข่าวเพียงสั้นๆว่า “เหมือนตายแล้วเกิดใหม่” สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนางวนิดา จุลมูล อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1/1 หมู่ 2 ต.หาดทรายรี อ.เมืองชุมพร แม่นายศุภชัย สามีของนางนงนุชเปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับการยืนยันจากแพทย์แล้วว่า นางนงนุชกับ ด.ญ.ดารารัตน์ ลูกสะใภ้และหลานสาวอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว แพทย์ได้ถอดเครื่องหายใจออกแล้ว ทั้งลูกสะใภ้และหลานสาวรอดตายครั้งนี้เหมือนปาฏิหาริย์ ตอนแรกที่พาส่ง รพ.อาการโคม่า แพทย์เรียกญาติไปพบบอกว่าให้ทำใจ โอกาสรอดมีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น นางวนิดาเปิดเผยอีกว่า ระหว่างที่ทุกคนนั่งเฝ้าอาการด้วยความสิ้นหวังอยู่นั้น มีพยาบาลรายหนึ่งที่เฝ้าไข้เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้เคยมีผู้ป่วยรายหนึ่งรับประทานแมงดาพิษเข้าไป ญาติเอาต้นรางจืดซึ่งเป็นพืชสมุนไพรมาตำคั้นเอาน้ำให้ผู้ป่วยดื่มกิน ผลปรากฏว่าแก้พิษได้ และรอดตายในที่สุด เมื่อได้ยินเช่นนั้นทำให้เกิดความหวังขึ้นมา โทรศัพท์บอกญาติให้นำต้นรางจืดมาให้ทั้งต้นและราก จากนั้นนำไปตำจนละเอียดคั้นเอาแต่น้ำผสมกับน้ำซาวข้าวให้พยาบาลฉีดเข้าไปทางหลอดอาหารให้กับนางนงนุชก่อน หลังเวลาผ่านไปประมาณ 5-6 ชม. ปรากฏว่านางนงนุชเริ่มรู้สึกตัว พูดได้ แพทย์เจ้าของไข้จึงอนุญาตให้นำรางจืดไปใช้รักษา ด.ญ.ดารารัตน์ อีกคน เวลาผ่านไปเพียงแค่ 2 ชม. ด.ญ.ดารารัตน์เริ่มรู้สึกตัว สร้างความประหลาดใจให้กับแพทย์เป็นอย่างมาก เมื่อแพทย์เห็นเช่นนั้นนำรางจืดให้ผู้ป่วยรับประทานทุก 3 ชม. ปริมาณครั้งละ 10 ซีซี กระทั่งในวันเดียวกันนี้ แพทย์วัดความดัน การเต้นของหัวใจของผู้ป่วยยืนยันว่าทั้งคู่ปลอดภัย แพทย์ เชื่อว่าเหตุที่รอดตายเพราะต้นรางจืดแน่นอน เพราะคนที่รับประทานแมงดาพิษเข้าไปจะไม่มียาใดๆรักษาได้ ด้าน พญ.สุพรรณี ประดิษฐ์สถาวงษ์ ผอ.รพ.ชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ กล่าวว่า ปกติคนที่รับประทานแมงดาถ้วย หรือเหรา หรือแมงดาไฟเข้าไปแล้วเกิดอาการเป็นพิษจะไม่มียาใดๆรักษาแก้พิษ แพทย์ทำได้แต่เพียงล้างท้อง หรือทำให้อาเจียน แล้วใช้เครื่องช่วยหายใจ การที่แพทย์ หรือพยาบาลยอมให้ญาตินำเอาสมุนไพรอย่างรางจืดมาให้ผู้ป่วยกินนั้น เพราะปัจจุบันนี้ เมื่อถึงจุดๆหนึ่งที่แพทย์เห็นว่าผู้ป่วยอยู่ในอาการโคม่า แพทย์มีสิทธิที่จะทำตามคำขอของญาติผู้ป่วยนั้นๆ ยิ่งต้นรางจืดเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณแก้พิษได้ ทั้งต้นและรากของรางจืดจะเป็นยาขับปัสสาวะ ทำให้ช่วยขับพิษแมงดาทะเลออกมาทางปัสสาวะของผู้ป่วย จนอาการของแม่ลูกดีขึ้นตามลำดับ ขณะนี้ทราบมาว่าแพทย์อนุญาตให้นำทั้งคู่ ออกจากห้องไอซียูไปพักฟื้นตึกหมอพรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากอาการปลอดภัย คาดว่าพรุ่งนี้คงจะกลับบ้านได้ สำหรับต้นรางจืดกำลังตรวจสอบอยู่ว่ามีใครทำการวิจัยไว้หรือไม่ ถ้าไม่มีจะถือโอกาสศึกษาและนำมาใช้เป็นยาแก้พิษแมงดาทะเลมีพิษต่อไป ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ http://tnews.teenee.com/etc/20194.html (http://tnews.teenee.com/etc/20194.html) ข้อมูลประกอบภาพข้างบน http://www.sahavicha.com/?name=article&file=readarticle&id=2353 (http://www.sahavicha.com/?name=article&file=readarticle&id=2353) หัวข้อ: Re: "รู้-ไม้-ใช่-ว่า-ตัด-มา-แบก-หาม" : ๐มะค่าโมง/มะค่าแต้๐ เริ่มหัวข้อโดย: อริญชย์ ที่ 25 ธันวาคม 2011, 04:57:PM ๐มะค่าโมง/มะค่าแต้๐
๐ “มะค่าโมง” ต้นใหญ่ผลิใบเก่า ฝักดำเงา เมล็ดลื่น ตกพื้นหล้า เนื้อไม้แก่นแข็งมากจากพนา ให้คุณค่ามากมายคนหมายปอง ฯ ๐ “มะค่าแต้” มีหนามแหลมตามฝัก ไม่สูงนัก แต่โดดเด่นไม่เป็นสอง เนื้อไม้แก่นมีคุณค่าให้น่ามอง เมล็ดอ่อนของมะค่าไทยกินได้เอย ฯ อริญชย์ ฝักเมล็ดมะค่าโมง (http://www.bansuanporpeang.com/files/images/user1048/DSC00793.jpg) ฝักดิบมะค่าโมง (เมล็ดอ่อนกินได้ รสคล้ายมะพร้าวอ่อน) (http://thrai.sci.ku.ac.th/files/images/makamong22.jpg) อันนี้มะค่าแต้ (หมากกะแต้) (http://www.saunmitpranee.com/gallery/1269268507.jpg) เมล็ดมะค่าแต้ คล้ายเมล็ดมะค่าโมง ต่างกันที แบนกว่า และในฝักจะมีประมาณ 3-4 เมล็ด มะค่าโมง มีประมาณ ๕ – ๘ เมล็ด หรือมากกว่า *ต้นมะค่าโมง ไม่มีหนามที่ฝัก เมล็ดใหญ่ ถ้าเมล็ดอ่อนก็กินได้ ถ้าเมล็ดแก่ จะแข็งมาก *ต้นมะค่าแต้(หมากกะแต้) มีหนามที่ฝัก เมล็ดเล็กกว่ามะค่าโมง เมล็ดอ่อนกินได้เช่นกัน แต่จะขมฝาดกว่ามะค่าโมงนิดหน่อย ฝักมีดและด้ามมีดที่ทำจากไม้มะค่าโมงสวยงามทนทาน (http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTITz248MfBc_gUDVyovaBDu56XupVbLZXQXb8RdhygmPcIFdNl2lxofQgD) emo_95 emo_107 emo_95 วอนลมเกี่ยวใจ - สลา คุณวุฒิ (เคยร้องเพลง ก่อนจะมาเป็นครูเพลงชื่อดัง) http://www.youtube.com/watch?v=LI_ikt3Uzz0 |