หัวข้อ: **วลีลักษณา-อักษรารำพัน** เริ่มหัวข้อโดย: อักษรารำพัน ที่ 06 ตุลาคม 2010, 05:29:PM ๐ เวิ้งฟ้ากว้างพร่างพรายแดดสายสาด ต้องหยดหยาดแวววาวคล้ายดาวใส ร้อนแดดยามแผดลงคงคายไอ แพรเพชรไหวที่วาบคือภาพลวง ๐ เพียงได้ชื่นยามเช้าแล้วเศร้า,สาย น้ำค้างพรายพรมผกาจากฟ้าสรวง พรากช่อแล้วชื่นมาลย์รานหยดยวง คล้ายดั่งทรวงแห้งแล้งสิ้นแรงแล้ว (วลีลักษณา) ๐ ยามรักหวานกานท์กลอนอ่อนหวานนัก ยามเมื่อรักหักคลอนกลอนเริ่มแผ่ว เมื่อความเหงาเข้าเสริมเริ่มฉายแวว ออกเป็นแนว..กลอนโศกวิโยคครวญ ๐ ทั้งรันทดหดหู่ดูย่อท้อ ทั้งตัดพ้อต่อว่าครากำสรวล ทั้งหญิง-ชายหมายฝันอันรัญจวน กลับเซซวนป่วนปั่นยามฝันกลาย (อักษรารำพัน) ๐ เพราะภาพฝันเย้าหยอกหลอกให้หลง ยากดำรงรูปพรางจึงจางหาย จะเอื้อมคว้าก็คว้างไร้ร่างกาย ไม่อาจหมายภาพเร้นให้เป็นจริง ๐ เมื่อภาพลวงพ่วงพันในฝันหวาน ย่อมล่มลาญยามตื่นคืนทุกสิ่ง เช่นกลอนกานท์ผ่านให้ใช่ว่าติง เพียงได้อิงจินตภาพที่วาบพราย (วลีลักษณา) ๐ อันรูปรอยถอยห่างอาจพรางได้ แต่รูปในกมลฤาพ้นหาย จะประทับกับตนจนวางวาย มิสลายหายลับกับห้วงกาล ๐ อยู่กับภาพอาบฝันในวันเก่า อาจบรรเทาเหงากายคลายฟุ้งซ่าน แต่เมื่อเงาเขานั้นอันตรธาน ถึงดวงมานคลายเศร้ากลับเหงาทรวง (อักษรารำพัน) ๐ มองท้องฟ้าเวิ้งว้างที่กว้างไกล กับหัวใจเคว้งคว้างยามห่างหวง แม้อดีตซึมซาบเหลือภาพลวง ยังเหมือนบ่วงพ่วงพันสุดบั่นทอน ๐ ความเหงาเงียบเยียบเย็นไม่เว้นวัน ยามพรากขวัญพรากหมายยากถ่ายถอน แม้วันนี้คลายเศร้าที่เผา,รอน หัวใจและอาวรณ์ยากผ่อนคลาย (วลีลักษณา) ๐ เพราะความเหงาเร้ารุมเหมือนสุมเชื้อ มาจุนเจือเชื้อไฟให้ขยาย ถ่านใกล้ดับกลับคุประทุพราย เหมือนประกายสายใยให้อาวรณ์ ๐ แม้นตระหนักรักนี้ถึงที่สุด มิอาจฉุดหยุดใจให้ถ่ายถอน ยังจะหวงห่วงหาและอาทร แม้ร้าวรอนนอนช้ำกับน้ำตา (อักษรารำพัน) ๐ ปล่อยอดีตซีดจางเลือนรางทิ้ง แม้จะยิ่งเหงาหงอยละห้อยหา ด้วยเหตุการณ์ผ่านล่วงห้วงเวลา ไม่เหลือค่าเคยซึ้งติดตรึงใจ ๐ แม้เส้นทางข้างหน้าจะว้าเหว่ สุดถ่ายเทอาวรณ์ให้ผ่อนได้ จำกล้ำกลืนฝืนทนความหม่นใน- ห้วงหทัยไหวหวั่นให้บรรเทา (วลีลักษณา) ๐ เพียงพลัดพรากจากไกลใช่ลาจาก เพียงย้ำฝากรักไว้มิให้เฉา เพียงหมายใจใกล้ชิดนิจแนบเนา เพียงหมายเฝ้าคลอซึ้งด้วยหนึ่งนาง ๐ เธอ..คือหนึ่งตรึงฤดีที่หมายมั่น เธอคือฝันอันจรุงครารุ่งสาง เธอคือจันทร์วันเพ็ญเด่นนภางค์ เธอคือดาวพราวพร่าง ณ กลางมาน (อักษรารำพัน) ๐ โอ้เจ้าช่อมาลียามคลี่กลิ่น หอมรวยรินโลมไล้ให้ชื่นหวาน ขอผ่านล่วงล้ำลงตรงแดดาล เพี่อสอดสานเป็นบ่วงแล้วพ่วงคล้อง- ๐ ผูกอีกทรวงแน่นหนาเกินกว่าเคลื่อน แล้วผันเลื่อนเวียนพบประสบสอง ไม่พลัดพรากจากกันมั่นประคอง เป็นคู่ครองแนบชิดนิจนิรันดร์ (วลีลักษณา) ๐ เพราะฤดีสี่ห้องร่ำร้องหา ทุกเวลาพาซึ้งคะนึงฝัน เป็นโซ่ทองคล้องเกี่ยวยึดเหนี่ยวพัน มุ่งหมายมั่นฝันชื่นให้ยืนยาว ๐ แม้หนาวเหน็บเจ็บนักที่กักเก็บ หัวใจรักอักเสบจนเหน็บหนาว ยังถวิลจินต์หมายตะกายดาว ท่ามฟ้าพราวหาวห้อมอย่างพร้อมใจ (อักษรารำพัน) ๐ รักแท้ใช่เพียงฝันต้องฟันฝ่า อุปสรรคนานาอย่าหวั่นไหว แม้มั่นคงก้าวย่างสู่ทางไกล ย่อมคว้าได้สักครั้งที่หวังปอง ๐ อาจเหน็จเหนื่อยเมื่อยล้าคราทุกข์เศร้า หรือเงียบเหงาเศร้าซมระทมหมอง แต่ย่อมมีวันที่ฟ้าสีทอง ให้ได้ครองสุขสมภิรมย์มาน ๐ เจ็บครั้งหนึ่งซึ้งค่าว่าเคยรัก แม้สั้นนักยามชื่นระรื่นหวาน แต่หมองหม่นทนเหงาเศร้าแสนนาน พรากสิ้นความชื่นบานจนผ่านคล้อย ๐ แผ่วพลิ้วลมพรมรื่นไล้ผืนน้ำ หรือหวนซ้ำสู่ขวัญอันยับย่อย เมื่อใจหนึ่งเคยช้ำเกรงซ้ำรอย อาจเศร้าสร้อยโศกตรมจนซมซาน (วลีลักษณา) ๐ เมื่อใจปลงหลงทางจนร้างฝัน ความสุขสันต์วันก่อนก็ย้อนผ่าน ดวงใจนั้นพลันแตกจนแหลกราญ ลำนำกานท์ผ่านพ้นสิ้นมนตรา ๐ เคยรำพึงถึงกันเมื่อวันก่อน ร่ายอักษรกลอนรักสลักหา กลอนกล่อมขวัญวันนี้ไม่มีมา ตำนานรักอักษรามาสิ้นมนต์ ๐ ยังเศร้าหมองครองโศกวิโยคนัก เหมือนสลักหักคาอุราหม่น ยามเจ็บช้ำกล้ำกลืนต้องฝืนทน ความทุกข์ท้นล้นหลากจนยากปลง ๐ ยามลมหวนทวนหอบหรือตอบถ้อย ให้คนคอยน้อยใจอาลัยหลง จะหยิบจับกลับกลายสลายลง ไม่ดำรงคงมั่นเพียงฝันไป ๐ แม้ต้องครวญหวนไห้อาลัยรัก เมื่อประจักษ์ภักดิ์นั้นยังสั่นไหว แม้ระกำช้ำหมองครองฤทัย เจ็บเพียงไรใจหนอยังขอทน (อักษรารำพัน) ๐ เมื่อลมหวลชวนฝันสัมพันธ์ต่อ ควรรีบก่อรูปรอยแล้วคอยผล สูดความหอมโหยหาความน่ายล อย่าร้อนรนคิดไปจนใจหมอง ๐ ฟ้ายังมีวันดับสูรย์อับแสง แล้วกลับแจ้งเรืองเรื่ออุ่นเอื้อผอง ย่อมมีวันที่หวังสมดังปอง ได้ครอบครองสิ่งหมายสู่ปลายทาง (วลีลักษณา) ๐ อยากได้พบสบฝันในวันหนึ่ง แม้ได้ซึ้งตรึงอยู่เพียงตรู่สาง ยังหมายปองลองรักมิพักจาง แม้เลือนรางทางฝันมิหวั่นทน ๐ สำเนียงแผ่วแว่วหวานอาจขานขับ ให้สดับรับฟังอีกครั้งหน ปล่อยเรื่องเศร้าร้าวรานผ่านกมล สู่วังวนมนต์รักแม้สักครา (อักษรารำพัน) ๐ ยามทุกข์ทนหม่นเศร้าใครเล่ารู้ ยังต่อสู้เติมใจที่ใฝ่หา อาจเจ็บช้ำจำฝืนกลืนน้ำตา แม้สุดคว้าจะค้นหมายด้นดึง ๐ เพียงตั้งมั่นสานฝันแล้วฟันฝ่า รอเวลาก้าวไกลเพื่อไปถึง ใช้เรี่ยวแรงแห่งหวังตั้งคำนึง เพื่อสิ่งหนึ่งใจปองได้ครองเธอ (วลีลักษณา) ๐ หากเดือนดาวพราวฟ้าคอยพาฝัน แม้ว่ามันหวั่นไหวเพียงใจเผลอ ฝันคงไม่ไกลมากจนยากเจอ ให้หม่นเก้อเดียวดายสู่ปลายทาง ๐ เมื่อห้วงหาวดาวเดือนยังเกลื่อนฟ้า ใคร่ครวญหาคว้าไขว่ไว้เคียงข้าง แต่นับวันฝันเหมือนยิ่งเลือนลาง ห้วงหาวกว้างร้างไร้ใจคำนึง (อักษรารำพัน) ๐ ชีวิตว่างเย็นเยียบเงียบสงัด คลื่นกรรมซัดพัดพาจนมาถึง- สุดท้ายเหลือเพียงช้ำคอยย้ำตรึง แล้วขีดขึงขมวดมัดรัดกลางทรวง ๐ หาคำไหนเทียบเคียงเสียงร่ำไห้ ที่กึกก้องข้างในใจทั้งห้วง หาคำไหนเทียบเท่าเศร้าทั้งปวง ฟ้าฝั่งสรวงรู้ไหมฉันไร้ดาว (วลีลักษณา) ๐ อยากทอถักรักงามส่งข้ามฟ้า ฝากจันทราฟ้าสรวงกลางห้วงหาว มิหมายใจให้ชื่นอย่างยืนยาว เพียงเมื่อคราวหนาวล่วงสู่ทรวงเรา ๐ หมายวันชื่นคืนหวานได้ซ่านสุข ลืมเรื่องทุกข์ปลุกใจมิให้เฉา ใจกระซิบวิบแว่วเพียงแผ่วเบา ก็ล้างเศร้าเหงาไปจากใจแล้ว (อักษรารำพัน) ๐ เกรงสลายหายลับกับกาลล่วง เป็นลมลวงรื่นริ้วที่พลิ้วแผ่ว เพียงภาพฝันบรรเจิดที่เพริศแพรว กับเสียงแว่วคำครวญล้วนบอกรัก ๐ อาจลับเลยเลือนหมดสิ้นรสหวาน แม้อ้อยตาลพาลขมระทมหนัก คงหมองหม่นก่นเศร้าเหงายิ่งนัก จะห้ามหักอย่างไรยามไม่เจอ... ๐ หรือ..หมายเพียงยั่วหยอกที่บอกฝาก รัก..นั้นจากดวงขวัญมั่นเสมอ จริง..ใจหรือแค่เพียงเสียงละเมอ แท้..อาจเผลอด้วยเหงาคอยเร้ารุม ๐ รัก..ปลายลิ้นยินผ่านแล้วพาลหาย จาก..พรากกายคลายคำคงช้ำสุม ปาก..เว้าวอนอ้อนภักดิ์ ว่ารักรุม ชาย..หนอกรุ้มกริ่มนักยามทักนวล (วลีลักษณา) ๐ หมู่มาลีมีภมรว่อนแห่ห้อม ด้วยหมายชมดมดอมความหอมหวล เฉกนารีมีชายหมายเชยชวน ความเย้ายวนชวนชิดแม้ปลิดปลง ๐ ว่า......หอมเอย หอมกลิ่น มิสิ้นสุด สองแก้มนุชผุดผ่องจนต้องหลง ดั่งกุหลาบแรกแย้มแก้มอนงค์ สักคราลงจุมพิตสนิทใจ ๐ ว่า......นวลเอ๋ย นวลปราง ช่างงามสม หมายเด็ดดมชมชิดพิสมัย ก็กลัวว่าแก้มน้องต้องหมองไป จะปล่อยไว้ใจหนอก็เสียดาย ๐ อันแก้มช้ำ-ช้ำไปเพราะใครอื่น คงขมขื่นฝืนใจไม่รู้หาย หากแก้มน้องต้องช้ำถูกกล้ำกราย ด้วยมือชายให้เป็นพี่คนนี้นะ (อักษรารำพัน) ๐ เป็นภู่ผึ้งพึงเพียงเคียงดอมด่ำ เพื่อชื่นฉ่ำช้ำพอแล้วก็ผละ ยามลุ่มหลงเวียนเชยไม่เคยละ เป็นสัจจะธรรมจริงกว่าสิ่งใด ๐ อ้อนออดคำพร่ำวอนอ่อนหวานนัก คำว่ารักนำหน้ากว่าคำไหน ที่เอ่ยออกเน้นยิ่งจริงจากใจ แต่เป็นไปชั่วคราวไม่ยาวนาน ๐ อย่าให้ช้ำเพราะใครให้เพียงพี่ พูดง่ายดีฟังดูเหมือนชูหวาน หากหลงลมขมไหม้จนใจราน อาจสิ้นปราณรานทรวงเกินทวงคืน (วลีลักษณา) ๐ ไยตัดพ้อต่อคำให้ช้ำชอก มิกลับกลอกหลอกเล่นเช่นเขาอื่น รักพี่ชายหมายหวังให้ยั่งยืน ร้อยพันขื่น ฤา เท่า ที่เจ้าเมิน ๐ หากที่พร่ำคำย้อนเพียงอ้อนออด ทำเง้างอดเพียงลบเกลื่อนกลบเขิน ความเอียงอายคล้ายนวลหมายชวนเชิญ พี่ยอมเพลินเดินสู่ประตูใจ ๐ แม้เป็นบ่วงลวงล่อมิขอกลับ จะยอมรับกับดักมิผลักใส พร้อมเผชิญเดินรุกฝ่าบุกไป ยอมหมกไหม้ในนรก"อ้อมอกเธอ" (อักษรารำพัน) หัวข้อ: Re: **วลีลักษณา-อักษรารำพัน** เริ่มหัวข้อโดย: ทอฝัน ที่ 06 ตุลาคม 2010, 05:57:PM (http://widget.sanook.com/static_content/full/graphic/67b25be3bdfa127b11c3e5a5b5d2daf7_1207822326.gif) emo_98 emo_93 emo_70 emo_110 emo_117 emo_81 emo_76 emo_96 ...........................................//ทอฝัน หัวข้อ: Re: **วลีลักษณา-อักษรารำพัน** เริ่มหัวข้อโดย: ดิษฐา ที่ 06 ตุลาคม 2010, 08:29:PM ตาผ่าวร้อนย้อนคิด ให้อิจฉา อักษราฯ ล่าใจ ให้ใครเพ้อ วลีหวานขานอ้อน อ่อน , ละเมอ สาวอาจเก้อเพ้อพบ สยบยอม ชั่งเก่งกาจสาดคำ ลำนำเด่น วลีเร้นเย็นจิต เฝ้าพิศ หอม ทั้งหวานหยดรดริน แทบสิ้นตรอม ใจคงหลอมน้อมรับ สดับวาง คนอะไร..แต่งกลอนเก่ง จริงๆ ..นับถือๆ emo_12 หัวข้อ: Re: **วลีลักษณา-อักษรารำพัน** (๒) เริ่มหัวข้อโดย: อักษรารำพัน ที่ 12 ตุลาคม 2010, 11:55:PM ๐ เพียงได้พบแล้วพรากเพื่อฝากแผล
ดังถูกแส้โบยส่งสิ้นสงสาร กระหน่ำซ้ำสาสมจนซมซาน เพื่อล่มรานด้วยร้าวเมื่อคราวร้าง ๐ ปล่อยคืนวันผันวนผ่านพ้นหวัง เคยสุมสั่งคล้ายแสงแห่งรุ่งสาง มืดดับแล้วพรายรุ้งยามเลือนราง ย่อมอ้างว้างว่างวาบตราบวางวาย....(วลีลักษณา) ๐ ตะวันรอน ผ่อนแสง อ่อนแรงล้า พร้อมน้ำตา ราดริน มิสิ้นสาย เหลือเพียงใจ บางเบา เหงากับกาย ที่สลาย กับกาล เนิ่นนานเนา ๐ ยังประทับ กับฝัน วันฟ้าสวย คงพอช่วย ปลอบขวัญ ในวันเหงา เรื่องความหลัง ยังเห็น เป็นภาพเงา อาจบรรเทา ทุกข์เหลือ ให้เจือจาง....(อักษรารำพัน) ๐ เพียงเงาภาพทาบทรวงเป็นบ่วงคล้อง อาจจำจองพ้องกันแต่หวั่นหมาง กับรูปรอยแฝงเร้นเช่นภาพราง คงไม่ต่างความฝันอันเลื่อนลอย ๐ กลับจะทุกข์ถาโถมโหมกระหน่ำ หากถลำหลงเงาจนเศร้าสร้อย และจะยิ่งทรมานกับการคอย เหมือนฝากรอยแผลร้ายจวบวายปราณ....(วลีลักษณา) ๐ หนามสะกิด นิดเดียว ที่เรียวก้อย แล้วค่อยค่อย ลามแผล จนแผ่ซ่าน แต่แผลกาย หายได้ ในไม่นาน ยากสมาน สานแผล เกิดแก่ใจ ๐ หวังเพียงฟื้น ตื่นมา ครารุ่งสาง แผลใจจาง ล้างข่ม อารมณ์ไหว ทีปักลึก ผนึกแน่น ถึงแก่นใน เพื่อรอฝัน วันใหม่ ไว้เชยชม....(อักษรารำพัน) ๐ หากรู้เท่ารู้ทันยามฝันชื่น เพียงปลุกใจเต็นตื่นคลายขื่นขม ยอมรับรสพจน์หวานผ่านอารมณ์ แล้วเก็บบ่มความฝันนั้นแนบใจ ๐ ที่ห้วงลึกแดดาลอันหวานซึ้ง ย่อมตราตรึงรอยรูปอยู่วูบไหว และย่อมรู้รูปนั้นเพียงฝันไป หาดังใช่สิ่งหวังที่ยั่งยืน....(วลีลักษณา) ๐ แต่เมื่อหวัง ยังไม่ ไร้จนสิ้น ยังถวิล รักหมาย คลายขมขื่น แม้เคยพลั้ง พังยับ กับวันคืน ยังหมายชื่น ฝันใหม่ ใครสักคน ๐ แม้ระโหย โรยแรง แทบแห้งเหือด ถึงโดนเชือด เลือดหลั่ง กี่ครั้งหน อดีตเจ็บ เหน็บหนาว ร้าวกมล มิจำนน ค้นหา รักมาเคียง....(อักษรารำพัน) ๐ คือดิ้นรนแห่งใจจะไขว่คว้า ปรารถนายามหลากก็ยากเลี่ยง ยังวาดหวังมีใครไว้ร่วมเรียง แม้เป็นเพียงภาพฝันไม่หวั่นคอย ๐ จะกี่ครั้งกี่คราวที่หนาวเหน็บ จะกี่เจ็บฤๅจะจำแม้ช้ำ, บ่อย หรือกี่คราลาร้างจืดจางรอย แม้เพียงน้อยรอยหวานให้ผ่านเยือน....(วลีลักษณา) ๐ แม้ผ่านร้อน ย้อนหนาว กี่คราวครั้ง ภาพความหลัง ครั้งอคีต ตามกรีดเฉือน ถึงจะเจ็บ เหน็บนัก ยามรักเลือน ยังแชเชือน หารัก พิงพักใจ ๐ ต้องตรอมตรม ซมซาน มานานนับ ใจประทับ กับรอย แผลน้อยใหญ่ ยังไม่ล้า ราโรย หาโหยใคร มารักษา แผลใน หัวใจตัว....(อักษรารำพัน) ๐ เพราะหลายครั้งหลายคราวที่ร้าวรัก คงเจ็บหนักจักผสานก็รานทั่ว- ทั้งอกใจโดนเค้นจนเต้นรัว คงน่ากลัวแท้เทียวจะเยียวยา ๐ ปล่อยลาลับกับกาลให้ผ่านพ้น ความหมองหม่นใช่จักต้องรักษา ไม่ช้านานผ่านล่วงที่ลวงตา จะพบว่าแสงสว่างยังพร่างพราย....(วลีลักษณา) ๐ เวลากลบ ลบเลือน ได้เหมือนว่า คล้ายกับยา มาล้าง ให้จางหาย แผลในใจ ใหญ่น้อย อาจพลอยคลาย ดีกว่าหมาย ตะกายฝัน อันวังเวง ๐ ฝันใดเล่า เท่าฝัน วันสิ้นโศก อยู่ในโลก ที่ไร้ ใครข่มเหง แม้นมิอาจ ฝืนห้าม ความวังเวง กอดตัวเอง ดีกว่า หาใครควง....(อักษรารำพัน) ๐ ฝันใดเล่าเท่าฝันในวันเหงา เพียงมีเงาเป็นเพื่อนเหมือนคอยหวง มีพจน์หวานดังตาลผ่านสู่ทรวง อื่นใดปวงฤๅล่วงห้วงคะนึง ๐ เสียงขลุ่ยคลอยามค่ำแสนฉ่ำหวาน แทนคำขานเคยถามยามคิดถึง เนิ่นนานแล้วแว่วเสียงเพียงรำพึง เก็บความซึ้งซ่อนอยู่ไม่รู้เลือน....(วลีลักษณา) ๐ เสียงขลุยแผ่ว แว่วครา ยามฟ้าหลัว ช่างหมองมัว หัวใจ หาใดเหมือน เสียงขลุ่ยครวญ หวนช้ำ มาย้ำเตือน รอยอดีต กรีดเฉือน ย้อนเยือนตน....(อักษรารำพัน) ๐ จันทร์เจ้าแฝงดวงรางคล้ายพรางงาม จนผ่านยามราตรีทีมัวหม่น ใจหนอยิ่งเย็นชืดมืดเสียจน ห้วงเวหนห่างหายพรายดาวเดือน ๐ เพียงขลุ่ยครวญคล้ายปลอบและตอบรับ จะคว้าจับรูปรอยก็คล้อยเคลื่อน อยู่ท่ามกลางซ่อนเร้นเห็นรางเลือน ยังแชเชือนเหมือนหลอกยั่วหยอกจินต์....(วลีลักษณา) ๐ เมื่อจันทร์แจ่ม แย้มพราย หลังกรายหลบ กลับไม่พบ หน้านวล ครวญถวิล อยู่กับความ เหว่ว้า จนชาชิน จนไร้สิ้น น้ำตา เคยบ่านอง ๐ เก็บความช้ำ คร่ำครวญ ในส่วนลึก ปิดผนึก เอาไว้ ใต้ความหมอง ลืมความสุข ทุกเสี้ยว เคยเกี่ยวดอง แล้วไปมอง ท้องฟ้า สบตาจันทร์....(อักษรารำพัน) ๐ เป็นจันทร์เพ็ญเด่นนวลให้หวนถึง จะคว้าดึงย่อมได้เพียงในฝัน มิไยที่เพ้อคำร่ำรำพัน คงไร้วันที่หวังจะรั้งรอ ๐ คงหลุดลอยคล้อยเคลื่อนคล้ายเดือนลับ โศกเศร้ากับอาวรณ์หากวอนขอ- ให้เพ็ญจันทร์ผ่องพรายฉายแสง, ทอ ประกาย ยอนวลพร่างลงกลางทรวง....(วลีลักษณา) ๐ ล่วงอีกคืน ฝืนร่าง อย่างเหน็บหนาว แสงเดือนพราว วาววับ ทาบทับสรวง มีดาวแจ่ม แซมเห็น เป็นรุ้งรวง งามโชติช่วง ห้วงฟ้า ดาราราย ๐ รักเคยสร้าง ทางฝัน อันเจิดจ้า เหมือนนภา ราตรี มีจันทร์ฉาย เมื่อโรยรา พาคว้าง อย่างเดียวดาย เหมือนจันทร์กราย ย้ายเคลื่อน สู่เดือนแรม....(อักษรารำพัน) ๐ ยามเดือนแรมรูปเรียวซีดเซียวหม่น แต่เกลื่อนหนด้วยดาวยังพราวแต้ม คืนผ่านพ้นวนวันจวบจันทร์แย้ม เพ็ญกลับแจ่มกลางหาวอีกคราวครั้ง ๐ ต่างจากแสงข้างในที่ใจนั่น กลับนับวันมัวหม่นจนสิ้นหวัง ไร้วี่แววเรื่อรองส่องนวล,ดัง ชีพไร้ฝั่งกลางมืดดับชั่วกัปกาล....(วลีลักษณา) ๐ คืนเดือนแรม แก้มช้ำ น้ำตาไหล สู้หมายใจ ได้ปอง ละอองหวาน หวังครองคู่ ชูชื่น ยั่งยืนนาน กลับร้าวราน รักลา ช่างน่าชัง ๐ จะกี่ปี กี่เดือน ดูเหมือนว่า ใจที่ล้า รารอ หมายก่อหวัง ถ้อยสัญญา ครานั้น ใจฉันยัง เตือนให้ยั้ง รอคอย บนรอยเดิม....(อักษรารำพัน) ๐ ได้ประจักษ์ในจิตซึ้งพิษรัก ไม่หมายภักดิ์ผู้ได้มาไว้เสริม เมื่อสิ้นแล้วไม่ขอรอต่อเติม ไม่มีเริ่มไม่มีจบลบอาลัย ๐ มิเหลือใจแสนเจ็บไว้เก็บกัก- ด้วยตรึงปักเงาหม่น..ยากพ้นได้ ยังมืดดำคล้ำเศร้าและเหงาใจ จนไม่เหลือเยื่อใยมอบใครครอง ๐ สายเสียแล้วสายฝันเมื่อผันช่วง ไม่อาจพ่วงพันให้หัวใจสอง ได้สานเกลียวเหนี่ยวนำเข้าจำจอง แม้หมายปองคล้องไว้ด้วยนัยเดียว ๐ แต่ว้าเหว่หวั่นไหวก็ไม่หยุด เหมือนตามยุดฉุดเร้าด้วยเปล่าเปลี่ยว แม้ว่ามานขาวซีดนั้นรีดเรียว เกิดกว่าเกี่ยวสายฝันสู่วันไกล....(วลีลักษณา) ๐ ดึกคืนนี้ มีดาว พร่างพราวแสง แต่ฤาแข่ง แสงจันทร์ อำพันใส ฟ้าสกาว พราวสวย โปรดอวยชัย ช่วยเปลี่ยนใจ ใครหนึ่ง ซึ่งหมายปอง ๐ เธอถูกรัก หักอก จนหมกไหม้ เมื่อรักจาก พรากไป จนใจหมอง แม้มีชาย หมายเมียง คู่เคียงครอง ไม่แยแส แลมอง แม้ต้องตา ๐ ยังอาลัย ใจภักดิ์ ในรักเก่า อยู่ใต้เงา เศร้าสร้อย ละห้อยหา ทนอาวรณ์ นอนเดี่ยว เปลี่ยวเอกา แม้เวลา จะผ่าน เนิ่นนานแล้ว ๐ วอนฟ้าสวย ช่วยให้ เผยใจนาง ให้กระจ่าง พร่างพราย ประกายแก้ว อาจบางที ที่.รัก จักฉายแวว ให้เพริศแพร้ว อีกครา ใต้ฟ้างาม ๐ ทุกทำนอง สองเรา เคยก้าวผ่าน ยังร้าวราน หวนไห้ เกินไหวหวาม เมื่อนัยน์ตา มีน้ำ ผุดฉ่ำวาม มิเหลือความ เข้มแข็ง แห่งดวงใจ.....(อักษรารำพัน) ๐ จะเริ่มรัก ถักฝัน นั้นแสนยาก เพราะรอยบาก ถากลึก ผนึกให้- ใจหมางเมิน เกินจัก คิดรักใคร จมหมองไหม้ เหมือนดั่ง กำลังล้า ๐ เส้นขอบโค้ง ตรงนั้น ตะวันตก ยังพลิกผก ตะวัน ผันเจิดจ้า แต่ความรัก ที่ร้าง และห่างตา มิกลับมา อีกแน่ รู้แก่ใจ ๐ ความทรงจำ ทำร้าย เวียนร่ายภาพ และเจ็บปลาบ ทุกครั้ง เกินยั้งได้ คนหนึ่งพราก จากกัน พลันมีใคร พร้อมก้าวไป สู่ฝัน ลืมกันแล้ว....(หนูบัว) ๐ หากอีกใจยังคงดำรงมั่น ไม่แปรผันวาดหวานแม้ผ่านแผ่ว- เรียวรีดรอยพิศสวาทฤๅคลาดแคล้ว กลับตรึงแนวบอบบางลงกลางทรวง ๐ ด้วยไม่อาจลบรอยที่คอยหลอก ยังยั่วหยอกรุมเร้าให้เฝ้าหวง รู้รักเช่นเสน่หา..แค่ค่าลวง ยังติดบ่วงพ่วงพันสุดบั่นทอน ๐ เสียงเพรียกจากหัวใจไม่เคยหยุด และยากฉุดเหนี่ยวรั้ง..สิ้นหวัง,ถอน สลักนั้นตรึงมั่นนิรันดร และคอยย้อนรอยย้ำทุกค่ำคืน ๐ จันทร์เจ้าเอยนวลใยที่ในฟ้า เคยเจิดจ้าอาบผ่านบนมาน, ผืน กลับกลายหมองหม่นคล้ำให้กล้ำกลืน สิ้นแสงโสมโลมรื่น..เหลือขื่นทรวง .(วลีลักษณา) ๐ ยินเสียงใจ บอกจันทร์ วันฟ้ากว้าง ดูเหมือนนาง วางใจ มิใคร่หวง ราวจะบอก ความใน ใจทั้งปวง ว่าแดดวง หนึ่งนี้...มีผู้ใด ๐ หรือจะอำ ความนัย มิใคร่เผย ก็เกินเลย อันมนุษย์ สุดวิสัย ถนอมนวล ชวนชื่น รื่นฤทัย หรือเกรงใจ ใครอื่น ที่ชื่นครอง ๐ แม้ใจนาง ร้างใคร ที่ใฝ่ฝัน ขอผูกพัน มั่นอยู่ เป็นคู่สอง กับโฉมงาม ทรามวัย ที่ใฝ่ปอง ขอจับจอง ห้องใจ มิไคลคลา....(อักษรารำพัน) ๐ สรวงฟ้าเอยเผยให้เพียงได้ฝัน เพื่อใครนั้นเฝ้าคอยละห้อยหา เพียงร่ำพากย์ฝากให้ผู้ไกลตา ด้วยหมายตราตรึงขวัญเกี่ยวพันไว้ ๐ โปรดรับรู้อาวรณ์อันอ่อนหวาน ที่จดจารจากขวัญผู้ฝันใฝ่ โปรดรับรู้ห่วงหาและอาลัย มอบจากใจคนเหงาคอยเคล้าคลอ....(วลีลักษณา) ๐ ค่ำคืนนี้ มีดาว สกาวใส มีหนึ่งใจ ใครหมอง ร่ำร้องขอ ให้หนึ่งใจ ใครนั้น ที่ฝันรอ กลับมาก่อ ทอฝัน เหมือนวันวาน ๐ คิดเอย คิดถึง คนึงนัก มอบใจภักดิ์ รักเอย เคยหอมหวาน หมายสลัก รักไว้ ให้แสนนาน หากร้าวราน ซานซม ฤาสมควร....(อักษรารำพัน) ๐ รวยรินรา- ตรีหอมรอบล้อมถิ่น ให้โชยกลิ่นรื่นหวานผ่านลมหวน ออในอกผู้ร่ำคำคร่ำครวญ ว่ารักรวนแรมร้างจืดจางแล้ว ๐ เพื่อปลอบขวัญคนไกลผู้ไฝ่ฝัน คลายไหวหวั่นอาวรณ์ให้ผ่อนแผ่ว แม้หนึ่งหวังเลือนรางเคยพร่างแพร้ว อย่าคลาดแคล้วอีกหวังจนพังครืน....(วลีลักษณา) ๐ ถึงเพียงแม้ แค่ฝัน อันลางเลือน มิแชเชือน ชะตา หากฟ้ายื่น ขอหัวใจ..ได้ซึ้ง แค่หนึ่งคืน แม้เมื่อตื่น ลืมตา รักราโรย ๐ เพียงปลายก้อย น้อยหนึ่ง ก็ซึ้งค่า กับอุรา ครวญคร่ำ ร่ำหาโหย เหมือนดินแห้ง แล้งหมาย พระพายโชย พาฝนโปรย พรายพร่าง หลังร้างไกล....(อักษรารำพัน) ๐ สายฝนหล่นจากฟ้าสู่หล้าโลก ให้ชุ่มโชคใจฝันผู้หวั่นไหว รื่นเย็นอยู่เช่นนั้นทุกวันไป จวบพบใจอีกใจฝากให้กัน ๐ ที่แสนไกลสุดเหลียวจะเกี่ยวก้อย เพียงเฝ้าคอยพบได้แค่ในฝัน ยังสบตาฝากไว้ในเพ็ญจันทร์ เพื่อพ่วงพันสายใยเป็นนัยเดียว....(วลีลักษณา) ๐ ระยะทาง หว่างฟ้า ใช่สาเหตุ ถึงห่างเนตร เจตจินต์ มิสิ้นเหนี่ยว หากผูกพัน มั่นหมาย มิคลายเกลียว ให้สุดหล้า ฟ้าเขียว ยังเกี่ยวพัน ๐ แต่หากใจ ไม่มั่น ยังหวั่นไหว ถึงอยู่ใกล้ ไม่ต่าง กับร้างฝัน หากมั่นใน ใจสอง ที่คล้องกัน ห่างเพียงไหน ไม่หวั่น สัมพันธ์เลือน ๐ ขอเพียงใจ แน่นหนัก ในรักนี้ ห่มฤดี ที่รัก ฤๅจักเลื่อน จะลาร้าง ห่างหาย หลายปีเดือน ก็อุ่นเหมือน อยู่ใกล้ แนบใจกัน ๐ แต่หากชัง หวังใกล้ กับไกลห่าง เพราะจินต์สร้าง กำแพง แอบแฝงกั้น เบื่อและหน่าย คลายรัก หักสัมพันธ์ นั่งมองกัน แต่ใจ ไงกลับชัง....(อักษรารำพัน) ๐ ยากยิ่งนักแยกได้คำใครนั้น หากสานต่อทอฝันก็หวั่นหวัง จะจบสิ้นถวิลหาถึงคราพัง จึงควรรั้งใจตน..อาจกลลวง ๐ ปล่อยเวลาเผยเร้นที่เป็นอยู่ ว่าควรคู่หรือไม่ ที่ใจหวง อาจสิ้นลบจบไปไม่ถามทวง จึงกันทรวงพ้นช้ำเข้ากล้ำกราย ๐ เกรงเจ็บช้ำซ้ำหนจนยากหัก ยามสิ้นรักดังวันขวัญสลาย หากหลงลมเพลี่ยงพล้ำกับคำชาย อาจต้องตายทั้งเป็นโดนเข่นทรวง ๐ ฉันใดหนอเชื่อได้นะใจนั้น หลอกให้ฝัน..ปั้นคำร่ำว่าหวง พิสูจน์ได้อย่างไรว่าไม่ลวง หวั่นช้ำทรวงยิ่งนักหากรักใคร....(วลีลักษณา) ๐ หวังเอยหวัง ตั้งไว้ อย่าให้สิ้น มิสมจินต์ เลยหรือ ฤา.ไฉน เย็นน้ำค้าง ร่างสั่น หวั่นฤทัย เฝ้าคอยใคร ให้กลับ ประทับทรวง ๐ เห็นน้ำค้าง พร่างพราย กลางสายหมอก ราวเย้าหยอก หมอกพราย ก่อนหายล่วง เมื่อตะวัน สาดแสง เต็มแดงดวง ก็เกินหน่วง ห้วงฝัน อันพราวแพรว....(อักษรารำพัน) |